รู้ไว้ซะ!ซาลาห์ เผยที่มาที่ไปท่าดีใจสุดเท่

ซาลาห์ ดาวเตะตัวเก่ง ลิเวอร์พูล เผยถึงที่มาที่ไปของท่าดีใจของเขาหลังจากยิงประตูให้ทีมในแมตช์ชนะ เชลซี 2-0 เกมลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมกล่าวชม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่มีส่วนสำคัญสำหรับประตูสุดสวยของเขาด้
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่ง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เผยเหตุผลเกี่ยวกับท่าดีใจของเขาที่แสดงให้เห็นหลังจากทำประตูช่วยทีมไล่ทุบ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 2-0 ที่สนามแอนฟินด์ เกมพีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา

สตาร์ลูกหนังชาวอียิปต์ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในแมตช์นี้ โดยเฉพาะจังหวะซัดไกลสุดงามบอลพุ่งแหวกอากาศผ่านมือ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า นายทวารค่าตัวแพงระยับ เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างน่าเหลือเชื่อ จากนั้น “โม ซาลาห์” ก็วิ่งไปแสดงความยินดีกับกองเชียร์ พร้อมกับทำท่ายืนกระต่ายขาเดียวและพนมมือ ซึ่งแน่นอนว่าทำหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาต้องการสื่ออะไรจากท่านี้

ซาลาห์ เปิดใจกับ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ อดีตดาวเตะ “หงส์แดง” ซึ่งทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์เกมให้กับช่องสกาย สปอร์ต ว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ในใจผมบอกให้ทำท่านี้ทันที ผมก็แค่ทำท่าโยคะ”

นอกจากนี้ ซาลาห์ ยังกล่าวชื่นชม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่วิ่งหลบทำให้ตนมีพื้นที่ตัดเข้าไปด้านในและยิงประตูสุดสวย “ปกติแล้วผมตัดเข้ามาด้านใน แล้วก็ยิงประตูแต่บอลมันก็จะพุ่งเข้าหาผู้รักษาประตู ครั้งนี้ผมตัดสินใจยิงเหมือนเดิม เพราะมันไกล แถมบอลยังแกว่งไปมาด้วยความแรง ผมโชคดีนิดหน่อยที่บอลมันพุ่งเข้าไปในตาข่ายแบบนั้น !”

“เฮนโด้ ทำงานของเขาได้อย่างสุดยอดซึ่งทำให้ผมเล่นได้ดีง่ายยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเขามีส่วนกับประตูนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่งในงานของเราตอนที่ฝึกซ้อม ผมคิดว่าทุกอย่างมันเหมาะเจาะลงตัวพอดิบพอดี” อดีตดาวเตะ โรม่า และ เชลซี กล่าวทิ้งท้าย

เลิกซอยยิก! ปอลป็อกบา เผยเหตุเปลี่ยนสไตล์ยิงจุดโทษ

ปอลป็อกบา มิดฟิลด์ แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างความแปลกใจด้วยการยิงจุดโทษแบบปรกติในเกมที่ชนะ เวสต์แฮม 2-1 ล่าสุดเจ้าตัวออกมาเฉลยว่าสาเหตุที่ทำแบบนั้นเป็นเพราะรู้แล้วว่าการทำประตูให้ได้มันสำคัญกว่าท่ายิง พร้อมยิงมุกว่าที่กลับมายิงแบบธรรมดาอาจจะเป็นการหลอกคู่แข่งไปด้วย
ปอล ป็อกบา กองกลางคนดังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดเผยว่าสาเหตุที่ตนเปลี่ยนสไตล์การยิงลูกจุดโทษมายิงเหมือนคนปรกติในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ต้นสังกัดเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เฉือนชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นเพราะตนได้รับบทเรียนแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทำประตูให้ได้

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อไหร่ก็ตามที่ ป็อกบา รับหน้าที่ยิงจุดโทษ เขามักจะซอยเท้ารัวๆ ซึ่งมีบางคนที่ไม่ชอบสไตล์แบบนี้ของเขาเท่าไหร่ แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ป็อกบา ทำให้หลายคนแปลกใจ หลังจากเขายิงจุดโทษแบบธรรมดาๆ ซึ่งเขาก็ทำประตูให้ทีมได้

เลสเตอร์ลุ้นเฮ5นัดติด! “วาร์ดี้” พร้อมยิง,นิวคาสเซิ่ลยังเสี่ยงตกชั้น

วาร์ดี้ พร้อมปิดสกอร์ เกมรับ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ที่ยังไม่ปลอดภัยในการอยู่รอดลีกสูงสุด ลุ้นระทึกได้ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1, เวลา : 02.00 น.

สนาม : คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พาทีม ”สุนัขจิ้งจอก” อยู่สูงถึงอันดับ 7 หลังจากโชว์ฟอร์มฮอตชนะ 4 เกมติดต่อกันโดยฟอร์มล่าสุดพวกเขาบุกถล่ม ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ถึง 4-1 กันเลยทีเดียว

เรียกว่ากำลังอยู่ในช่วงผลงานดีสุดของซีซั่นนี้เลยทีเดียว หลังมีการปรับเปลี่ยนผู้จัดการทีม

ส่วนสภาพทีมคาดว่า บีร็อด จะยังปราศจาก มาร์ค อัลไบรท์ตัน ตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้ายยังคงไม่สามารถช่วยทีมได้เพราะเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า เช่นเดียวกับ แดเนียล อามาร์ตี้ย์ ที่เจ็บยาวอีกรายหนึ่งด้วย

อย่างไรก็ตาม เลสเตอร์ จะมี เจมี่ วาร์ดี้ เป็นหน้าเป้าซึ่งเกมก่อนทำคนเดียว 2 ประตูโดยมี เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์, เดมาไร เกรย์ ฯลฯ เป็นตัวสนับสนุน

ฟาก ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม ”สาลิกาดง” ทีมอันดับ 15 พาทีมสะดุดไม่ชนะใครมา 3 เกมติดต่อกันเก็บเพิ่มได้แต้มเดียว ล่าสุดแพ้ คริสตัล พาเลซ 0-1 คาถิ่นตัวเอง ทำให้ยังมีความสุ่มเสี่ยงที่ยังกตชั้นไปเดอะแชมเปี้ยนชิพได้ หากว่าฟอร์มแผ่วไม่ฟื้นจริง

อย่างไรก็ตาม นิวคาสเซิ่ล ไม่ได้กดดันอะไรมากนัก เพราะอยู่เหนือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในโซนตกชั้นถึง 7 คะแนน

ทีมยังไม่สามารถใช้ ฌอน ลองสตัฟฟ์ (เข่า) ที่เจ็บยาวได้เช่นเคย รวมทั้ง ฟลอร็องต์ เลอจูเน่ ปราการหลังที่เจ็บเข่าจากเกมแพ้ พาเลซ ด้วย ซึ่งนัดนั้นเป็น พอล ดัมเมตต์ ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทน

นอกจากนี้ นิวคาสเซิ่ล ยังต้องทดสอบความฟิตของ โมฮาเหม็ด ดิยาเม่ ผู้เล่นมิดฟิลด์อีกรายหนึ่งด้วย

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
เลสเตอร์ (4-1-4-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – ริคาร์โด เฟไรร่า, เวส มอร์แกน, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, เบน ชิลเวลล์ – วิลฟรีด เอ็นดิดี้ – เดมาไร เกรย์, ยูริ ตีเลม็องส์, เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ – เจมี่ วาร์ดี้
ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

นิวคาสเซิ่ล : (5-4-1) : มาร์ติน ดูบราฟก้า – เดอันเดร เยดลิน, ฟาเบียน ชาร์, จามาล ลาสเซลล์, พอล ดัมเมตต์, แมตต์ ริตชี่ – อาโยเซ่ เปเรซ, อิซัค เฮย์เด้น, คี ซุง-ยอง, มิเกล อัลมิร่อน – โซโลมอน รอนดอน
ผู้จัดการทีม : ราฟาเอล เบนิเตซ
ผู้ตัดสิน : คริส คาวานาฟ

เกร็ดเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– เลสเตอร์ เอาชนะได้ตลอด 4 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– เลสเตอร์ เอาชนะได้ 6 จาก 7 นัดหลังสุดที่พบ นิวคาสเซิ่ล รวมทุกรายการ
– เลสเตอร์ มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ถึง 7 จาก 8 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– เลสเตอร์ จะมีสกอร์นำในครึ่งแรก และเอาชนะตอนจบเกมได้ตลอด 3 นัดเหย้าหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– เลสเตอร์ จะยิงได้อย่างน้อย 2 ประตูต่อเกมตลอด 4 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– นิวคาสเซิ่ล ไม่ชนะเลยตลอด 8 นัดเยือนหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– นิวคาสเซิ่ล จะเสียอย่างน้อย 2 ประตูต่อเกมตลอด 3 นัดเยือนหลังสุดในพรีเมียร์ลีก

ผลการพบกันที่ผ่านมา
วันเดือน/ปี รายการ ผลการแข่งขัน
29/09/18 พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิ่ล 0 – 2เลสเตอร์ ซิตี้
07/04/18 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ 1 – 2นิวคาสเซิ่ล
10/12/17 พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิ่ล 2 – 3เลสเตอร์ ซิตี้
15/03/16 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0นิวคาสเซิ่ล
21/11/15 พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิ่ล 0 – 3เลสเตอร์ ซิตี้
02/05/15 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ 3 – 0นิวคาสเซิ่ล
03/01/15 เอฟเอ คัพ เลสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0นิวคาสเซิ่ล

ผลงาน 5 นัดหลัง
เลสเตอร์ ซิตี้
06/04/19 ชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 4-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
30/03/19 ชนะ บอร์นมัธ 2-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
16/03/19 ชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
09/03/19 ชนะ ฟูแล่ม 3-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
03/03/19 แพ้ วัตฟอร์ด 1-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก

นิวคาสเซิ่ล
06/04/19 แพ้ คริสตัล พาเลซ 0-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
01/04/19 แพ้ อาร์เซน่อล 0-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
16/03/19 เสมอ บอร์นมัธ 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
09/03/19 ชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-2 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
03/03/19 แพ้ เวสต์แฮม 0-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก

“แรมซี่ย์” ซัดเปิด!อาร์เซน่อลเฮก่อนหลังไล่ต้อนนาโปลีศึกยูโรปาลีก

แรมซี่ย์ ซัดประตูเปิดฝากล่องช่วย “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล เปิดบ้านเก็บชัยไว้ได้ก่อนโดยเอาชนะด้วย นาโปลี 2-0 ในศึกฟุตบอล ยูโรปา ลีก (รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก) คืนวันวันพฤหัสบดีที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา

ครึ่งแรกมาถึงนาทีที่ 12 นาโปลี ได้ลุ้นจากลูกเตะมุมไปเข้าหัว คาลิดู กูลิบาลี่ ที่เติมขึ้นมาลอยตัวโขกโล่งๆ แต่คุมทิศทางไม่ดีบอลเหินข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 14 อาร์เซน่อล ได้ประตูนำ 1-0 จากจังหวะต่อบอลสุดสวยจากการตัดบอลได้ครึ่งสนามมาถึง อเลซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ ทางริมเส้นฝั่งขวาก่อนส่งต่อให้ เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์ – ไนล์ส ที่เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่แต่ยังล้มตัวผ่านบอลให้ อารอน แรมซี่ย์ วิ่งเข้ามาบรรจงแปแบบไม่จับเล่นทางเข้าเสาไกลโดยที่ อเล็กซ์ เมเร็ต นายด่านนาโปลีพยายามพุ่งปัดสุดเอื้อมแต่ไม่ถึง

เลยมาถึงนาทีที่ 25 ปืนใหญ่ ลั่นกระสุนนำห่าง 2-0 เมื่อ ลูกัส ตอร์เรร่า ตัดบอลจากแข้งนาโปลีได้ แล้วโซโล่เดี่ยวกระชากจึ้ก่อนหักหลอก ฟาเบียน รูอิซ แล้วซัดด้วยเท้าซ้ายบอลพุ่งไปโดน คาลิดู กูลิบาลี่ เปลี่ยนทางเข้าไป อเล็กซ์ เมเร็ต ได้แต่ป้องกันด้วยสายตาเท่านั้นนับว่าเป็นความเก่งผสมกับโชคดีของอาร์เซน่อลอีกด้วย

นาทีถัดมาอาร์เซน่อล ยังได้ใจ โอบาเมย็อง ได้แปเน้นๆ ทางฝั่งซ้ายแต่ไปเข้ามือ อเล็กซ์ เมเร็ต รับไวได้

เลยมาถึงนาทีที่ 39 โอบาเมย็อง ได้ตั้งป้อมส่องหน้ากรอบเขตโทษทีมเยือนบอลทะยานแรงแต่ถูกปฏิเสธโดย อเล็กซ์ เมเร็ต ทีล้มตัวปัดไว้ได้บอลทำท่าจะกระฉอก ลากาแซ็ตต์ เตรียมวิ่งเข้ามาซ้ำดาบสองแต่ เมเร็ต ยังตามไปตะครุบไว้ได้

นาทีที่ 41 นาโปลี ตอบโต้กลับมาบ้าง มาริโอ รุย ส่องไกลด้วยเท้าขวาหน้ากรอบเขตโทษอาร์เซน่อล แต่ทิศทางไม่ดีข้ามคานออกไปไกล

นาทีที่ 44 ทีมเยือนพลาดโอกาสตีตื้นอย่างน่าเสียดายเมื่อ โฆเซ่ กาเยฆอน หลุดขึ้นไปเปิดบอลริมเส้นฝั่งขวาหักข้อย้อนมาถึง ลอเรนโซ่ อินซินเย่ วิ่งเข้ามากดเต็มข้อระยะประมาณ 15 หลากลางประตูแต่ทิศทางไม่ดีบอลเลยโด่งออกไปไกล

จบครึ่งแรก อาร์เซน่อล เปิดบ้านนำห่าง นาโปลี 2-0

เริ่มครึ่งเวลาหลังนาทีที่ 53 นาโปลีได้ลุ้นประตู เอลซิด ไฮซาจ ขึ้นโหม่งจากลูกเปิด้านข้างแต่ไม่ค่อยถนัดบอลย้อยทำท่าจะเสียบใต้คานแต่ ปีเตอร์ เช็ก ไม่ปล่อยให้ผ่านมือลอยตัวปัดด้วยปลายมือไว้ได้อย่างหวุดหวิด

นาทีที่ 58 ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง หลุดขึ้นไปทางฝั่งซ้ายในเขตโทษทีมเยือนก่อนตัดสินใจซัดด้วยเท้าซ้ายแต่โดนแข้งนาโปลียืนขาป้องกันไว้ได้

นาทีที่ 66 อาร์เซน่อล ตัดสินใจเปลี่ยนผู้เล่นพร้อมกันถึงสองคน โดยถอด อเลซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ และส่ง อเล็กซ์ อิโวบี้ ลงมาแทน อีกคนเป็น เมซุต โอซิล ที่เกมนี้ขุดฟอร์มเก่งไม่ออกโดยส่ง เฮนริค มคิทาร์ยาน ลงเล่นแทน

นาทีที่ 72 นาโปลี พลาดได้ประตูตีไข่แตกอย่างเหลือเชื่อ เมื่อ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ได้โอกาสหลุดขึ้นไปเปิดบอลริมเส้นฝั่งขวาเลยไปถึง ปิโอเตอร์ เซลินสกี้ ที่ไร้แข้งอาร์เซน่อลประตามประกบก่อนเจ้าตัวจะล้มตัวจิ้มบอลโล่งๆ โดยที่ ปีเตอร์ เช็ก ก็ตามป้องกันไม่ทัน แต่เจ้ากรรมบอลดันเหินข้ามคานไปแบบไม่เชื่อสายตาแฟนบอลทั้งสนาม

นาทีที่ 80 อาร์เซน่อล น่าจะได้ประตูนำขาด เมื่อ แรมซี่ ได้จังหวะหวดเต็มข้อบริเวณจุดโทษแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะวางเท้าไม่ดีบอลจึงเหินค้ามขานออกไปแบบน่าเสียดาย

เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบเกม อาร์เซน่อล เปิดบ้านเก็บชัยเหนือ นาโปลี 2-0 แต่ยังคงต้องไปลุ้นต่อนัดสองต่อไป

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
อาร์เซน่อล (3-4-1-2) : ปีเตอร์ เช็ก – นาโช่ มอนเรอัล, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่, โซคราติส ปาปาสตาโธปูลส – เซอัด โคลาซินัช, อารอน แรมซี่ย์, ลูกัส ตอร์เรร่า (โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ น.77), เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์ – ไนล์ส , เมซุต โอซิล (เฮนริค มคิทาร์ยาน น.66) – อเลซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ (อเล็กซ์ อิโวบี้ น.66), ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง

นาโปลี (4-4-2) : อเล็กซ์ เมเร็ต -เอลซิด ไฮซาจ, นิโคล่า มักซิโมวิช, คาลิดู กูลิบาลี่, มาริโอ รุย – โฆเซ่ กาเยฆอน, อัลลัน, ฟาเบียน รูอิซ (อดัม อูนาส์ น.82), ปิโอเตอร์ เซลินสกี้ – ลอเรนโซ่ อินซินเย่ (อามิน ยูเนส น.82), ดรีส์ เมอร์เท่นส์ (อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค น.66)

เฮแบบหืดจับ! ตัดเกรดแข้ง บาร์เซโลน่า เกมบุกเชือดแมนยู

บาร์เซโลน่า ก็ได้ชัยชนะตามที่ต้องการ หลังบุกไปพิชิต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันพุธที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ถือความได้เปรียบก่อนกลับไปเตะเลกสองที่ คัมป์ นู กลางสัปดาห์หน้า โดยที่โดดเด่นสุดในเกมนี้ของ บาร์ซ่า คือแนวรับ ซึ่งเล่นได้แข็งแกร่งมากๆ โดยเฉพาะ เคราร์ด ปีเก้ เด็กเก่า “ปีศาจแดง” และนี่คือผลสอบของแข้ง บาร์ซ่า แต่ละคนในเกมนี้
11 ผู้เล่นตัวจริง

– มาร์ค-อังเดร แทร์ ชเตเก้น : 6

แทบไม่ได้ทำอะไรเลยในเกมนี้ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถิติยิงตรงกรอบ 0

– เนลสัน เซเมโด้ : 7.5

เล่นได้เด่นทีเดียว เติมเกมรุกได้น่ากลัว และมีจังหวะที่จ่ายบอลให้ ซัวเรซ หลุดเข้าไปเกือบทำประตูได้

– เคราร์ด ปีเก้ : 8

กลับมา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยฟอร์มที่แข็งแกร่งสุดๆ คุมเกมรับได้เยี่ยม และตัดบอลได้สวยๆ หลายครั้ง โดยเฉพาะการสกัดช่วงท้ายเกม

– เกลม็องต์ ล็องเล่ต์ : 6

ยืนตำแหน่งได้ดี แต่จ่ายบอลเสียหลายครั้ง ซึ่งโชคดีที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่คมพอในการจบสกอร์

– จอร์ดี้ อัลบา : 7

เล่นเกมรับได้ดี และมีเติมเกมรุกให้เห็นเมื่อมีโอกาส

– อีวาน ราคิติช : 7

อาจจะไม่โดดเด่น แต่ทำได้ดีในการครองบอล และใช้กำลังสู้กับแดนกลางของ “ปีศาจแดง” ได้เยี่ยม

– เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ : 7

แม้เจอใบเหลืองตั้งแต่ต้นเกม แถมหวิดโดนไล่ออกตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรก แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีเลย แถมการหยอดบอลเข้าในเขตโทษของเขายังนำไปสู่ประตูชัยด้วย

– อาร์ตูร์ : 6

เล่นได้ไม่ค่อยดีนัก ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงกลางครึ่งหลัง

– ลิโอเนล เมสซี่ : 6.5

แม้ไร้สกอร์ และเล่นไม่ถนัด แต่ก็ป่วนแนวรับคู่แข่งได้เป็นระยะในการครองบอล และถือว่ามีส่วนในจังหวะได้ประตูชัย

– ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ : 5.5

มีโอกาสยิงไปติดเซฟ เด เคอา แต่ฟอร์มโดยรวมถือว่าน่าผิดหวัง

– หลุยส์ ซัวเรซ : 7

ขยันขันแข็ง วิ่งไม่มีหยุด และเป็นเพราะเขาที่ทำให้ทีมได้ประตูชัย จากการโหม่งบอลไปโดนตัว ลุค ชอว์ เข้าประตู

สำรองที่ได้ลงเล่น

– อาร์ตูโร่ วิดาล (แทน คูตินโญ่ น. 66) : 6.5

แม้ลงไปทำฟาวล์หลายครั้ง แถมโดนใบเหลืองภายในไม่กี่นาที แต่ก็ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าตัวอยู่แล้วที่จะลงไปช่วยเพิ่มความดุดันในแดนกลาง

– เซร์กี้ โรเบร์โต้ (แทน อาร์ตูร์ น. 66) : 6.5

ลงไปช่วยเติมความสดในแดนกลางตามแท็กติก

– การ์เลส อาเลนญ่า (แทน บุสเก็ตส์ 90+3) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้

ไก่จิกเรือจม : ชำแหละ 5 ข้อ สเปอร์ส ฟอร์มแจ่มดับซ่า แมนซิตี้

สเปอร์ส ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อหักปากกาเซียนเฆี่ยน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 1-0 ที่สนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา
แมตช์นี้ “ไก่เดือยทอง” มาดีเล่นอย่างรัดกุม โดยเฉพาะกองกลางที่ทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยมทั้ง แฮร์รี่ วิงค์ส กับ มุสซ่า ซิสโซโก้ จัดการแผงมิดฟิลด์ของ แมนฯ ซิตี้ อยู่หมัด ขณะเดียวกัน ซน ฮึง-มิน หัวหอกตัวเก่ง โชว์ทักษะสุดยอดตะบันประตูโทนให้กับต้นสังกัด โดยงานนี้หลายคนยกให้ ดาวยิงกิมจิ ถูกโฉลกกับสนามเหย้าใหม่เพราะซัดไปแล้ว 2 ประตูที่นี่

อย่างไรก็ตาม สเปอร์ส ต้องมีเรื่องน่ากังวลใจอย่างมาก เพราะ แฮร์รี่ เคน หัวหอกตัวความหวัง ดันเกิดได้รับบาดเจ็บที่บริเวณข้อเท้า และตอนนี้ต้องลุ้นว่าอาการจะหนักมากแค่ไหน แน่นอนว่าเรื่องนี้คงทำให้แฟนบอล “ไก่เดือยทอง” วิตกสุดๆ เพราะในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น มีเกมสำคัญหลายแมตช์ที่อาจชี้อนาคตของทีมเลยทีเดียว

1) กิมจิพิฆาต
ซน ฮึง-มิน กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้ ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับการเล่นในสนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม เมื่อเขายิงประตูสำคัญในแมตช์ที่รับมือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้โอกาสได้เข้ารอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ค่อนข้างสดใส

สำหรับจังหวะสำคัญดังกล่าวอาจดูเหมือนว่า “อาซน” แทบจะหมดโอกาสยิงประตูเพราะในจังหวะแรกเขาจับบอลไม่ค่อยดีนัก และล้นจนเกือบจะออกเส้นหลังประตู แต่ด้วยความขยันผสมกับความรวดเร็วทำให้เจ้าตัววิ่งไปจับบอลได้บนเส้นหลังประตูพอดิบพอดี

จากนั้นก็โชว์สเต็ปด้วยการโยกหลอก ฟาเบียน เดลป์ และวิ่งตัดเข้ากลางก่อนตะบันเต็มข้อบอลผ่านตัว เอแดร์ซอน เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม โดยประตูดังกล่าวเป็นประตูทองที่ทำให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ถือความได้เปรียบในการเล่นเกมแรก รอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก

ตอนนี้ หัวหอกพลังกิมจิ กดไปแล้ว 18 ประตู จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 40 นัดในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับฤดูกาลก่อนที่ลงเล่นไป 53 นัด นั่นแสดงให้เห็นเขามีพัฒนาการที่ดีเยี่ยมขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น “อาซน” มีส่วนสำคัญในช่วงที่ เคน ไม่อยู่ เพราะเขายิงไป 5 จาก 6 ประตูหลังสุดตอนที่ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ รักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ

2. เคน เดี้ยงอีกแล้ว
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อ แฮร์รี่ เคน ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า โดยเขาต้องเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในอุโมงค์โดยมี 2 สตาฟฟ์โค้ชประจำสโมสรคอยช่วยประคับประคอง ที่สำคัญนักเตะไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าซ้ายได้เลย

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นจากความทุ่มเทของ เคน ที่พยายามจะเข้าไปสกัดจังหวะที่ ฟาเบียน เดลป์ จะเปิดบอลบริเวณริมเส้นข้างสนาม จากอาการบาดเจ็บดังกล่างทำให้ มาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ต้องรีบจัดการเปลี่ยนตัว ลูคัส มูร่า ลงมาแทน

สำหรับอาการเดี้ยงของ เคน ซึ่งเหมือนกับอาการเจ็บที่เขาเคยได้รับในเกมลีกแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ และครั้งนั้นทำให้เขาต้องพักนานกว่า 1 เดือน ทำให้ สเปอร์ส ต้องเจอสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากๆ เพราะอาจจะส่งผลต่อความหวังในการผ่านเข้ารอบรองฯ ถ้วยใบโตยุโรป (แม้ชนะ แมนฯ ซิตี้ 1-0 เกมแรก ก็ตาม) รวมไปถึงการลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์ในพรีเมียร์ลีกด้วย

3. วิงค์ส กับ ซิสโซโก้ โดดเด่น
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ นายใหญ่สเปอร์ส จัดวางแท็คติกได้อย่างดีเยี่ยมในครึ่งแรก โดย แฮร์รี่ วิงค์ส กับ มุสซ่า ซิสโซโก้ ทำหน้าที่แดนกลางได้อย่างเหนียวแน่น และสามารถดวลกับแดนกลางที่สุดหินของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างสุดยอดจริงๆ

วิงค์ส กับ ซิสโซโก้ ทำหน้าที่ประคองเกมแดนกลาง ในขณะที่เกมรุกพวกเขาได้ แฮร์รี่ เคน, คริสเตียน อีริคเซ่น, เดเล่ อัลลี่ และ ซน ฮึง-มิน คอยปั่นป่วนเกมรับของ “เรือใบสีฟ้า” และในที่สุดก็ทำสำเร็จในช่วง เกือบ 15 นาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

ทั้งสองมิดฟิลด์เล่นได้อย่างโดดเด่นทำให้แดนกลางแมนฯ ซิตี้ ต้องเจอกับงานยากลำบากในการครองบอล และการผ่านบอลให้กองหน้า ที่สำคัญการเล่นอย่างมีระเบียบวินัย และมีความนิ่งไม่ตื่นตระหนกเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลให้ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้

4. ขาด ซิลวา เรือใบขาดใจ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถรับมือกับการที่ทีมขาด แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่ไม่สามารถลงสนามได้เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็นต้นขาในช่วงฝึกซ้อมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

สำหรับเกมนี้ สตาร์ชาวโปรตุกีส เดินทางไปร่วมกับเพื่อนร่วมทัพ “เรือใบสีฟ้า” แต่ กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจไม่ส่งเขาลงสนาม ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เสียหายสำหรับทีมเพราะ ซิลวา กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มสุดยอด และน่าจะสามารถช่วยทีมได้มากในแมตช์นี้

แน่นอนว่าแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ ต้องคิดถึงการสร้างสรรค์เกมของ ซิลวา มากๆ เพราะนักเตะที่ส่งลงไปเล่นแทนอย่าง ริยาด มาห์เรซ ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรทีมเลย แถมการต้องพึ่งพา ราฮีม สเตอร์ลิง เพียงคนเดียวทำให้ ปีกทีมชาติอังกฤษ ต้องแบกรับภาระมากเกินไป

ซิลวา เป็นผู้เล่นสำคัญในการขับเคลื่อนเกมรุกของทีม ฉะนั้น เป๊ป คงคาดหวังที่จะเห็นนักเตะคู่ใจหายเจ็บและฟิตสมบูรณ์กลับมาช่วยทีมให้ได้ เพราะไม่ใช่แค่เกมนัด 2 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เกมถ้วย “บิ๊กเอียร์” เท่านั้น ยังรวมถึงแมตช์อื่นๆ ในช่วงที่เหลืออยู่ของซีซั่นนี้ด้วย

5. อูโก้ โยริส จอมหลอน อเกวโร่
แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสได้รางวัลล้ำค่าตั้งแต่นาทีที่ 12 เมื่อ “วีเออาร์” ระบุชัดเจนว่า แดนนี่ โรส ทำแฮนด์บอลในเขตโทษ โดยในจังหวะนั้น เซร์คิโอ อเกวโร่ ขันอาสาที่จะรับหน้าที่สังหารลูกนี้เอง และแน่นอนว่าแฟนบอล “เรือใบสีฟ้า” มั่นอกมั่นใจว่าเขาจะยิงประตูได้แน่ๆ

จังหวะที่ “กุน” ตะบันบอลไปนั่นก็คือว่าไม่ได้เลวร้าย แต่ โยริส โชว์ให้เห็นแล้วว่าเขามีไหวพริบในการป้องกันจุดโทษได้อย่างสุดยอดมากแค่ไหน เมื่อ นายทวารทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 พุ่งไปถูกทาง และปัดบอลได้อย่างสุดยอด

สำหรับตอนนี้ นายด่านเลือดเฟร้นช์ เป็นโกล์ที่ หัวหอกเลือดอาร์เจนไตน์ ต้องหวาดหวั่นหากต้องเผชิญหน้ากับเขาในการยิงจุดโทษ เพราะ โยริส เป็นผ้รักษาประตูเพียงคนเดียวในยุโรปที่เซฟจุดโทษของ อเกวโร่ ได้มากกกว่าผู้รักษาประตูคนอื่นๆ

ยังไม่หมดแค่นั้น โยริส ซึ่งเป็นนายทวาร “ไก่เดือยทอง” เซฟลูกจุดโทษได้ทั้ง 3 ครั้งในปี 2019 โดยเริ่มจากปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้า “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล” และ เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกชาวอังกฤษของ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้

ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก เชลซี แซงขึ้นที่ 3 “อาซาร์” เหนือชั้นลุ้นดาวซัลโว-ท็อปแอสซิสต์

อาซาร์ โชว์ฟอร์มสุดเจ๋งเป็นฮีโร่เหมาคนเดียวสองประตูพา “สิงห์บลูส์” ถลุงเวสต์แฮม ขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ของตารางพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
หลังวันก่อน อาร์เซน่อล ทำไม่ได้เมื่อบุกไปพ่าย เอฟเวอร์ตัน 0-1 ทำให้โอกาสหล่นมาอยู่ที่ เชลซี ที่มีคิวแข่งที่หลังกว่า

และลูกทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย หลังเปิดสแตมฟอร์ด บริดจ์บดเอาชนะ เวสต์แฮม ไปได้ 2-0 เป็นชัยชนะในลีก 3 เกมติด อีกทั้งยังตอกย้ำสถิติเหนือ “ขุนค้อน” นับแต่ปี 2002 ที่พวกเขาไม่แพ้ให้เวสต์แฮมเลย

เชลซี เก็บอีกสามคะแนน มีเพิ่มเป็น 66 แต้ม รั้งอันดับ 3 มากกว่าสเปอร์ส อันดับ 4 สองแต้ม และอาร์เซน่อล อันดับ 5 ถึงสามแต้ม แต่ “สิงห์บลูส์” นั้นแข่งมากกว่าหนึ่งนัด

และไม่พูดไม่ได้เลยคือฟอร์มอันสุดยอดของ เอแด็น อาซาร์ ฮีโร่ของสิงห์บลูส์ กลายเป็น “เดอะแบ็ก” อย่างแท้จริงหลังโชว์ผลงานขั้นเทพ ตะบันคนเดียวสองเม็ดในเกมนี้

โดยเฉพาะลูกแรกของ อาซาร์ ใครได้ดูจะพูดได้เลยว่า “สุดยอด” จังหวะรับบอลจากรูเบน ลอฟตัส-ชีค แล้วลากเข้ามากว่า 40 หลา ผ่านแข้งขุนค้อน สอง สาม สี่คน แล้วซัดด้วยซ้ายผ่านลูคัส ฟาเบียนสกี้เข้าไปอย่างเหนือชั้น

ประตูเบิกร่องของจอมทัพเบลเยียม ทำให้ เชลซี เล่นได้ง่าย ครองเกมได้ทั้งหมด แม้ครึ่งเวลาหลัง “ขุนค้อน” จะยกระดับทีมขึ้นมาได้ดีกว่า 45 นาทีแรก มีโอกาสยิงถึง 8 หน แต่น่าเสียดายยังไม่เฉียบคมพอจะเป็นประตูตีเสมอ

ก่อนนาทีสุดท้าย อาซาร์ คนเดิมจะบวกประตูที่สองของตัวเองในเกมนี้ พา “สิงบลูส์” คว้าชัยเหนือเวสต์แฮมไปได้ 2-0

แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เกมนี้ไม่ไปไหนให้เค้าไปเลย “เดอะแบก” อาซาร์ จอมทัพของเชลซี

สองประตูทำให้ เพลย์เมกเกอร์วัย 28 ปี ทำสถิติยิงเพิ่มในลีกไปแล้ว 16 ประตู ตามหลัง เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” ของแมนฯซิตี้แค่ 3 ลูก

ขณะที่ “ท็อปแอสซิสต์” อาซาร์ เองก็นำเดี่ยวคนเดียวหลังจ่ายให้เพื่อนทำประตูมากกว่าใครในลีกที่ 12 ครั้ง

และนี่คืออันดับตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมสถิติดาวซัลโว และท็อปแอสซิสต์ หลังเกมเมื่อวันจันทร์ที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา

ปกป้องลูกพี่! โอซิล เดือดขว้างเสื้อโค้ทใส่ซิลวา

โอซิล จอมทัพอาร์เซน่อล อดรนทนไม่ไหวเห็น อูไน เอเมรี่ กุนซือตัวเอง มีปากเสียงกับ มาร์โก ซิลวา บริเวณริมเส้นข้างสนาม ก็เลยขอร่วมแจมด้วยการขว้างเสื้อโค้ทใส่ ผู้จัดการทีมเจ้าบ้าน แบบไม่เกรงใจ งานนี้ทำเอาหลายคนแซมสนั่นในโลกออนไลน์ก็สนุกเลยทีเดียว
เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์ชาวเยอรมันของ อาร์เซน่อล มีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์มีปากเสียงระหว่าง มาร์โก ซิลวา กับ อูไน เอเมรี่ กุนซือ “ไอ้ปืนใหญ่” เมื่อเขาขว้างเสื้อโค้ทใส่ นายใหญ่เอฟเวอร์ตัน เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา

เกมที่สนามกูดิสัน พาร์ค เจ้าบ้านได้ประตูนำตั้งแต่สิบนาทีแรกจาก ฟีล จากีลก้า หลังจากนั้น อาร์เซน่อล พยายามที่จะทวงประตูคืนให้ได้ทำให้เกมเข้มข้นดุเดือดยิ่งขึ้น โดยมีอยู่จังหวะหนึ่งที่ ชโคดราน มุสตาฟี่ เข้าเสียบหนักใส่ โดมินิก คัลเวิร์ท-เลวิน ต่อหน้าสองกุนซือ และทำให้ทั้งคู่ปะทะคารมอย่างดุเดือนบริเวณริมเส้นข้างสนาม

ขณะนั้น จอมทัพเลือดด๊อยท์ช ซึ่งถูกเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 74 เกิดตบะแตกเหมือนกันก็เลยตัดสินใจเข้าร่วมแจมด้วยโดยเขาหยิบเสื้อโค้ทของตัวเองขว้างใส่ ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกส แบบไม่เกรงใจ โดยในจังหวะดังกล่าว มุสตาฟี่ โดนใบเหลืองไปโดยปริยาย

ไล่คอสต้า! ซัวเรซ-เมสซี่2นาที2ตุง บาร์ซ่าบี้ท้ายเกมอัดแอตมาดริด10คน

     ซัวเรซ และลิโอเนล เมสซี่ ในช่วงท้ายเกม โดยเกมนี้ทีมเยือนต้องเหลือแค่ 10 คนตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกหลัง ดีเอโก้ คอสต้า โดนใบแดงไล่ออก ซึ่งสามแต้มในวันนี้ของบาร์ซ่าส่งผลให้พวกเขาหนีห่าง “ตราหมี”ไปเป็น 11 คะแนนแล้ว ในศึก ลา ลีกา เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

จ่าฝูง บาร์เซโลน่า เปิดบิ๊กแมตช์ ลา ลีกา สเปน รับการมาเยือนของ แอตเลติโก มาดริด รองจ่าฝูงที่ก่อนแข่งตามหลังเจ้าบุญทุ่มถึง 8 คะแนน

เกมนี้ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ นายใหญ่บาร์เซโลน่าไม่มี อาร์ตูโร่ วีดาล ที่ติดโทษแบน ทำให้แดนกลางใช้ อาร์ตู เมโล่, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และอิวาน ราคิติช โดยวางสามแนวรุกอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, หลุยส์ ซัวเรซ และลิโอเนล เมสซี่

ส่วนทางฝั่งของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ นายใหญ่ตราหมี ได้ดีเอโก้ คอสต้าผ่านความฟิตลงล่าตาข่ายคู่กับ อองตวน กรีซมันน์

ก่อนเกม แพทริก ไคล์เวิร์ต ตำนานแข้งของฮอลแลนด์ และอดีตหัวหอกบาร์เซโลน่า มามอบรางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำเดือนมีนาคมให้ ลิโอเนล เมสซี่

ครึ่งแรก นาที 14 “เจ้าบุญทุ่ม” น่าจะได้ประตูขึ้นนำหลัง เมสซี่ โชว์จังหวะเปิดยาวตัดแนวรับตราหมีให้ ยอร์ดี้ อัลบา หลุดเข้าไปยิงด้วยซ้ายบอลผ่านตัว ยาน โอบลัค ไปแล้วแต่ชนเสาออกมาอย่างน่าเสียดาย

นาที 21 เป็นโอกาสของทีมเยือนบ้าง อองตวน กรีซมันน์ สบโอกาสซัดด้วยซ้ายบอลพุ่งเข้ากรอบแต่ยังดีที่ มาร์ก อันเดร แทร์ ชเตเก้น รับเข้าซองไว้ได้

จากนั้นอีก 5 นาทีถัดมา เป็นโอกาสทองของ ลิโอเนล เมสซี่ หลังได้ฟรีคิกระยะกว่า 25 หลา ซึ่งเป็นระยะถนัด ทว่าคราวนี้แม้จะปั่นข้ามกำแพงไปแล้วแต่ยังเบาและเหินคานไปแบบไม่มีลุ้น

เกมรุกของเจ้าถิ่นยังวูบวาบ นาที 28 คูตินโญ่ พลิกเข้าไปในกรอบแล้วอัดด้วยขวาอย่างแรงบอลพุ่งแต่ยังไม่ผ่านมือ ยาน โอบลัค ที่โชว์เซฟอีกครั้ง

นาที 29 กลายเป็นจุดเปลี่ยนของแอตเลติโก มาดริด หลังทีมต้องเหลือแค่ 10 คน เมื่อ ดีเอโก้ คอสต้า โดนไล่ออก จากจังหวะที่เดินไปต่อว่าผู้ตัดสินหลังตัวเองไม่ได้ฟาวล์ ทำเอาเกมต้องหยุดชั่วคราวหลังแข้งตราหมีไม่พอใจการตัดสินของเชิ้ตดำ

ท้ายเกม นาที 45+2 บาร์เซโลน่า พลาดโอกาสทองอีก หลัง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ขึ้นโขกเต็มหัวแต่บอลยังไม่ดีพอ ไปเข้ามือ ยาน โอบลัค รับไว้ได้ไม่พลาด

จบครึ่งแรก บาร์เซโลน่า ยังเสมอ แอต,มาดริด ที่เหลือผู้เล่น 10 คน 0-0

นาที 56 เกือบได้ลุ้นจากเมสซี่อีกหน หลัง เซร์จี้ โรเบร์โต้ ผ่านบอลให้ก่อนที่กัปตันทีมบาร์ซ่าจะหวดด้วยซ้าย แต่บอลยังไม่ผ่านมือ โอบลัค

เกมผ่านไปครบหนึ่งชั่วโมง เมสซี่ ที่เริ่มป่วนอีกหนเลี้ยงแนวรับตราหมี 3 คน แต่จังหวะซัดด้วยซ้ายยิงบดไปบอลเบาไม่ยากที่ ยาน โอบลัค จะรับไว้ได้

นาที 63 “เจ้าบุญทุ่ม” ทิ้งโอกาสทองอีกหน จังหวะโซโล่เดี่ยวเลี้ยงบอลจากแดนกลางของ เมสซี่ ตะลุยผ่านแนวรับตราหมีก่อนไหลออกซ้ายโล่งๆให้ ซัวเรซ วิ่งมาแปเน้นๆแต่บอลยังตรงตัว โอบลัค เซฟไว้ได้

เจ้าถิ่นยังดาหน้าโจมตีอย่างหนัก อีก 6 นาทีต่อมา คราวนี้ เมสซี่ เจาะตรงกลางพาบอลขึ้นมาก่อนฝากบอลให้ ซัวเรซ พักบอลให้แล้ววิ่งมาซัดเต็มแรงบอลก็ยังติดเซฟ โอบลัค แม้จะปัดมาเข้าทาง มัลคอม ที่ตามมาซ้ำแต่ก็ยังไม่ผ่านยาน โอบัค ที่เซฟช่วยทีมอีกที

นานๆทีจะมีโอกาส นาที 74 ฟรีคิกทางด้านซ้ายของสนาม กรีซมันน์ บรรจงเปิดไปเสาสอง โฮเซ่ คิเมเนซ ขึ้นโขกแต่บอลสูงข้ามคานออกไปแบบได้เสียว

จนแล้วจนรอด นาที 85 แฟนบาร์ซ่ามาเฮกันลั่นคัมป์ นู เมื่อยอร์ดี้ อัลบา จ่ายบอลให้ หลุยส์ ซัวเรซ พลิกบอลก่อนปั่นโค้งด้วยขวาบอลพุ่งโค้งหนีมือ โอบลัค เบียดโคนเสาสองเข้าไปอย่างเหนือชั้น ให้ บาร์เซโลน่า ขึ้นนำ 1-0

จากนั้นอีกนาทีเดียวต่อมา สกอร์ของเจ้าถิ่นนำห่างเป็น 2-0 อย่างรวดเร็ว บอลโต้กลับมาถึง เมสซี พาบอลกระชากดวลกับแนวรับตราหมี แม้โฮเซ่ คิเมเนซจะสไลด์ขวางทาง แต่บอลยังมาเข้าเท้า เมสซี่ ดึงจังหวะหลอกโกดินแล้วซัดด้วยซ้ายเบาๆเล่นทางหนี ยาน โอบลัค เข้าไป เป็นประตูที่ 33 ของเมสซี่ในลีกปีนี้

จบเกม บาร์เซโลน่า ควาชัยเหนือ แอตเลติโก มาดริด ที่เหลือแค่ 10 คน 2-0 เก็บอีกสามคะแนนนำเป็นจ่าฝูง หนี แอตมาดริด รอง่าฝูงไปเป็น 11 คะแนน และเหลือการแข่งขันในลีกอีก 7 แมตช์

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

บาร์เซโลน่า (4-3-3) : มาร์ก อันเดร แทร์ ชเตเก้น – เซร์จี้ โรเบร์โต้, เคราร์ด ปีเก้, เกลม็องต์ ล็องเลต์ ,ยอร์ดี้ อัลบา – อาร์ตู เมโล่, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อิวาน ราคิติช – ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่

แอต.มาดริด (4-4-2) : ยาน โอบลัค-ซานติอาโก้ อาเรียส, โฮเซ่ คิเมเนซ, ดีเอโก้ โกดิน, ฟิลิเป้ ลุยส์ กาสมีร์สกี้-ซาอูล ญีเกซ, โรดรี้, โตมาส์ ปาร์เตย์, โกเก้-ดีเอโก้ คอสต้า, อองตวน กรีซมันน์

ปอลป็อกบา เรียก 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หาก แมนยู อยากให้อยู่ต่อ

ปอลป็อกบา เพื่อกันไม่ให้ เรอัล มาดริด เข้ามาสวมรอย แต่ทว่าดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศส ต้องการเพิ่มค่าเหนื่อยใหม่รวมแล้ว 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ให้เท่ากับ อเล็กซิส ซานเชซ จากรายงานของthesun.co.uk เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562

ป็อกบา เคยเป็นข่าวกับ เรอัล มาดริด มาแล้วตอนที่เจ้าตัวฟอร์มตก และมีปัญหากับ โชเซ่ มูรินโญ่ แต่ตอนนี้ มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศส กลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงอีกครั้งนับตั้งแต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามาคุมทีม แมนยู แทนที่ “น้ามู” เมื่อเดือนธันวาคม 2018

อย่างไรก็ตาม หลังจาก ซีเนอดีน ซีดาน ได้กลับมาเป็นนายใหญ่ เรอัล มาดริด อีกครั้ง กุนซือชาวฝรั่งเศส วางแผนที่จะลุยตลาดนักเตะเพื่อเสริมทัพแข้งระดับท็อปหลายรายมาสร้างทีมใหม่ ซึ่งมีชื่อของ ป็อกบา อยู่ในลิสต์ด้วย ขณะที่ดาวเตะวัย 26 ปี ได้ให้สัมภาษณ์แบบไม่มีกั๊กว่า มาดริด คือทีมในฝันที่นักเตะทุกคนอยากจะไปเล่นให้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

ล่าสุดมีรายงานว่า แมนยู พร้อมเจรจายื่นสัญญาฉบับให้ ป็อกบา พิจารณา โดยสัญญาใหม่นี้มีระยะเวลา 3 ปี และจะทำให้ อดีตแข้งยูเวนตุส อยู่โยงในถิ่น “โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด” ไปจนถึงปี 2024

อย่างไรก็ตาม รายงานยังระบุอีกว่า มิโน่ ไรโอล่า เอเย่นต์ส่วนตัวของ ป็อกบา พยายามต่อรองให้บอร์ดบริหาร แมนยู พิจารณาอัพค่าเหนื่อยให้กับนักเตะในความดูแลของเขาจากเดิม 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ไปเป็น 505,000 ปอนด์ ในระดับเดียวกับ อเล็กซิส ซานเชซ หากต้องการให้ กองกลางจอมตัดผม ค้าแข้งกับทีมต่อไป

ทั้งนี้ ปอล ป็อกบา ยังเหลือสัญญาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีก 2 ปี ซึ่งทาง “ปีศาจแดง” มีอ็อปชั่นขยายสัญญาออกไปได้อีก 12 เดือน

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น