Design a site like this with WordPress.com
เริ่มได้

ทัศนคติแย่! รอยคีน ไม่ปลื้มชี้ป็อกบาคือปัญหาใหญ่ของแมนยู

รอยคีน อดีตยอดมิดฟิลด์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกโรงเฉ่ง ปอล ป็อกบา กองกลางคนดังของ “ปีศาจแดง” อย่างหนัก โดยบอกว่า ป็อกบา มีทัศนคติที่ย่ำแย่สุดๆ แถมยังไม่ช่วยทีมเล่นเกมรับด้วย
รอย คีน ตำนานกองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตำหนิ ปอล ป็อกบา มิดฟิลด์รุ่นน้องในทัพ “ปีศาจแดง” แบบรุนแรง หลังจากที่ล่าสุดอดีตทีมของเขาแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2 คารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา

ป็อกบา ถูกยกให้เป็นศูนย์กลางของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนี้ หลังจากที่เขาเคยประสบความสำเร็จทั้งกับทีมชาติฝรั่งเศสและ ยูเวนตุส มาแล้ว รวมถึงมีฝีเท้าโดยรวมที่ดี อย่างไรก็ตาม ดาวเตะเลือดน้ำหอมมักจะถูกตั้งคำถามเรื่องทัศนคติมาโดยตลอด และเกมเมื่อวันพุธที่ผ่านมาเขาก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดจากความพ่ายแพ้ไปได้

คีน กล่าวระหว่างออกรายการของ สกายสปอร์ตส์ สื่อกีฬาชั้นนำของเมืองผู้ดีว่า “ผมคงไม่เชื่อคำพูดของเขาแม้แต่คำเดียวหรอก คำพูดของเขามันไม่มีความหมายอะไรเลย ผมคิดว่าเขาเองก็ไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองพูดด้วยซ้ำ เขาพูดถึงเรื่องการเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดี แต่ถ้าคุณจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณก็ต้องวิ่งกลับไปช่วยเพื่อนเล่นเกมรับด้วย”

“หลังจบเกมกับ เอฟเวอร์ตัน (แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ 0-4) ไปแล้วบรรยากาศมันก็ดุเดือดขึ้นนิดหน่อย ผมได้ยินมาว่าพวกเขาขว้างเจลทำผมใส่กัน มันช่างดุเดือดซะเหลือเกิน โอเค เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์สูง แต่เราก็พูดเรื่องเดิมกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราเห็นกันมาหลายต่อหลายนัดแล้วที่เขาไม่ยอมวิ่งช่วยทีม หรือวิ่งกลับไปช่วยเล่นเกมรับ เขาพร่ำพูดเรื่องท่าทางต่างๆ แต่เขาเองนั่นแหละที่ชูมือยอมแพ้ เขาคือปัญหาใหญ่ของ ยูไนเต็ด”

“ก่อนหน้านี้ แกรม (ซูเนสส์) พูดเรื่องที่สโมสรฟุตบอลต้องมีรุ่นพี่ดีๆ อยู่ในทีม ตอนนี้เขาถือเป็นนักเตะรุ่นพี่แล้ว เขาเล่นรายการใหญ่ๆ มาหลายรายการ และได้แชมป์รายการใหญ่ๆ มามากมาย แต่จากที่ผมเห็นในตอนนี้น่ะ ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นแบบอย่างที่ดีได้หรอก ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนซ้อม หรือตอนที่ทีมเดินทางกันเขาเป็นคนยังไง แต่จากที่ผมเห็น (ในสนาม) น่ะเขาแย่มาก เขาพูดถึงเรื่องท่าทางและศักดิ์ศรี แต่ผมไม่เห็นเรื่องแบบนั้นในฟอร์มของเขาเลย สายตาของผมมันไม่โกหกผมหรอก”

ใครบ้าง? โรนัลโด้ จี้บอร์ดยูเวนตุสซิว6แข้ง

โรนัลโด้ แข้งซูเปอร์สตาร์ของ ยูเวนตุส กระตุ้นให้บอร์ดบริหารดึงแข้งมาร่วมทีม 6 รายในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยในกลุ่มนั้นมีชื่อของ อีสโก้ กับ ราฟาแอล วาราน อดีตเพื่อนร่วมทีมของ โรนัลโด้ ที่ เรอัล มาดริด รวมอยู่ด้วย
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงคนดังของ ยูเวนตุส สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเวที กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เรียกร้องให้บอร์ดบริหารของทีมดึงนักเตะมาเสริมทัพถึง 6 รายในช่วงซัมเมอร์นี้ ตามรายงานของ คอร์ริเอเร่ เดลโล่ สปอร์ต สื่อกีฬาชื่อดังของแดนมะกะโรนี

ยูเวนตุส ยอมทุ่มเงินในเบื้องต้นสูงถึง 100 ล้านยูโร (ประมาณ 3,600 ล้านบาท) เพื่อดึง โรนัลโด้ มาจาก เรอัล มาดริด เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปีก่อน ด้วยความหวังว่าเขาจะช่วยทำให้ทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองได้ แต่สุดท้ายดาวเตะชาวโปรตุกีสก็ไม่สามารถพาทีมไปถึงฝั่งฝันได้ จากการที่ “เบียงโคเนรี่” ต้องตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยฝีมือของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

ความล้มเหลวดังกล่าวทำให้ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โรนัลโด้ ขู่ว่าถ้าทีมไม่ทำการเสริมทัพให้ดีพอในช่วงซัมเมอร์นี้แล้วล่ะก็ เขาก็อาจจะตัดสินใจบอกลาทีมหลังจบฤดูกาลหน้า ซึ่งถือว่าเร็วกว่าสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายทำกันเอาไว้ 2 ปี เพราะเขาต้องการที่จะได้สัมผัสกับถ้วย “บิ๊กเอียร์” อีกครั้ง

กระทั่งล่าสุด คอร์ริเอเร่ เดลโล่ สปอร์ต ก็แฉว่า โรนัลโด้ จริงจังกับการที่อยากให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นมากๆ จนบอกกับบอร์ดบริหารว่าอยากได้ใครมาเป็นเพื่อนร่วมทีมบ้าง โดยประกอบไปด้วย ชูเอา เฟลิกซ์ ปีกดาวรุ่งของ เบนฟิก้า, อีสโก้ กับ ราฟาแอล วาราน 2 ดาวเตะจาก เรอัล มาดริด, เฟเดริโก้ เคียซ่า ปีกดาวโรจน์ของ ฟิออเรนติน่า, คอสตาส มาโนลาส กองหลัง อาแอส โรม่า และ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ กองกลาง โอลิมปิก ลียง โดยสื่อเจ้าเดิมเสริมว่าดาวเตะเลือดฝอยทองได้คุยเรื่องของทั้ง 6 คนกับ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เทรนเนอร์ของทีมไปแล้วด้วย

อยู่ยาก!แฟนบาร์เซโลน่าไม่พอใจโห่ใส่ คูตินโญ่ หนัก

คูตินโญ่ มิดฟิลด์ บาร์เซโลน่า โดนกองเชียร์กลุ่มหนึ่งของทีมตัวเองโห่ใส่ในเกมที่ต้นสังกัดเฉือน เรอัล โซเซียดาด หลังจากที่สาวก “อาซูลกราน่า” บางส่วนไม่พอใจในตัวเขามานานแล้ว และความบาดหมางก็รุนแรงขึ้นหลังจากที่ คูตินโญ่ ฉลองประตูในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยการเอานิ้วอุดหูตัวเอง
แฟนบอลกลุ่มหนึ่งของ บาร์เซโลน่า โห่ใส่ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กองกลางชาวบราซิเลียนของทีม ระหว่างเกม ลา ลีกา สเปน นัดที่ทีมรักของพวกเขาเปิดรัง คัมป์ นู เอาชนะ เรอัล โซเซียดาด 2-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา

คูตินโญ่ เป็นที่เกลียดชังของสาวก บาร์เซโลน่า บางคนมาพักหนึ่งแล้ว หลังจากที่เขาทำผลงานได้น่าผิดหวังในฤดูกาลนี้ โดยก่อนหน้านี้อดีตแข้ง ลิเวอร์พูล ก็เคยโดนสาวกของทีมโห่ใส่บางนัด จนทำให้เกิดข่าวลือว่าเจ้าตัวอาจเลือกบอกลาทีมในช่วงซัมเมอร์นี้

ทั้งนี้ ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง ที่ทีมของกุนซือ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เปิดบ้านไล่ต้อน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 เมื่อวันอังคารที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมานั้น คูตินโญ่ ทำประตูได้ด้วย และเขาก็ฉลองด้วยการเอานิ้วอุดหูทั้งสองข้าง โดยถึงแม้จะไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเขาต้องการสื่อถึงใคร แต่หลายคนเชื่อกันว่าดาวเตะเลือดแซมบ้าต้องการสื่อถึงบรรดาคนที่วิจารณ์เขา และนั่นรวมถึงแฟนบอล บาร์เซโลน่า ที่ตำหนิเขาด้วย

การกระทำดังกล่าวส่งผลให้สาวก บาร์เซโลน่า กลุ่มหนึ่งไม่พอใจในตัวเขามากขึ้นไปอีก จนถึงขั้นโห่ใส่เจ้าตัวในตอนที่ คูตินโญ่ โดนเปลี่ยนตัวลงสนามในเกมกับ โซเซียดาด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และทุกครั้งที่เขาได้จับบอล เหล่ากองเชียร์ บาร์เซโลน่า ก็ยังตามโห่เขาไม่เลิกเหมือนกัน

คืนจ่าฝูง! ชำแหละ 5 ข้อเด็ด ลิเวอร์พูล โชว์ของทุบ คาร์ดิฟฟ์

คืนจ่าฝูง พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง หลังจากพวกเขาบุกไปชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 2-0 ที่สนามคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยงานนี้ทำให้การลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในฤดูกาลนี้เต็มไปด้วยความเข้มข้น และลุ้นกันแบบนัดต่อนัดเลยทีเดียว

แม้ว่า “หงส์แด” จะเจอกับความยากลำบากในการเจาะเข้าทำประตูในครึ่งแรก แต่สุดท้ายพวกเขาสามารถปลดล็อกได้จากจังหวะที่ เทรนต์ -อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เปิดบอลให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดงามให้ทีมในช่วงเกมผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง

จากนั้นทีมมาคลายความกดดันมายิ่งขึ้นจากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ที่ขันอาสาสังหารไม่เหลือซาก โดยตอนนี้สาวก “เดอะ ค็อป” คงต้องลุ้นกันยิ่งกว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะ “ผีแดง” มีคิวรับมือ แมนฯ ซิตี้ และนี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่แฟนบอล “หงส์แดง” จะถอดใจเชียร์ “เร้ด เดวิลส์”

1. อลีสซง ทำผลงานยอดเยี่ยม
ลิเวอร์พูล มีโอกาสมากมายในช่วง 45 นาทีแรกจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ นีล เอเธอริดจ์ นายทวาร คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เข้าไปซุกก้นตาข่ายได้เลย ทำให้ทีมต้องเจอกับแรงกดดันในช่วงครึ่งหลัง

ฟอร์มของ “หงส์แดง” ในเกมนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าพวกเขาเหนือกว่าเจ้าบ้านพร้อมกับสถิติครองบอลได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในครึ่งแรก แต่ก็มีบางจังหวะที่พลาดให้ คาร์ดิฟฟ์ ได้สร้างความหวาดเสียวเหมือนกัน และโชคดีที่ทีมมี อลีสซง เฝ้าเสา ไม่งั้นอาจมีสิทธิ์น้ำตาตกก็ได้

จังหวะที่โดดเด่นเป็นสง่าของ คาร์ดิฟฟ์ คงเป็นในนาทีที่ 44 จากจังหวะที่ อูมาร์ แนสส์ พลิกตัวเร็วตวัดยิง แต่ อลีสซง ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นพอดีทำให้เจ้าตัวสามารถกระโดดปัดบอลข้ามคานออกไป ซึ่งถือเป็นจังหวะสำคัญมากๆ ที่ช่วยให้ “หงส์แดง” ไม่เสียประตูก่อนพักครึ่ง

ผลงานยอดเยี่ยมที่รักษาคลีนชีตใหนแมตช์นี้ทำให้ นายด่านชาวบราซิเลียน เก็บไปแล้ว 19 คลีนชีตในเกมลีกฤดูกาลนี้ และแน่นอนว่าเขามีลุ้นที่จะคว้ารางวัลถุงมือทองคำ เนื่องจากมีสถิติไม่เสียประตูเหนือกว่า เอแดร์สัน โกล์เพื่อนร่วมชาติจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้

2. แอสซิสต์สำคัญจากเจ้าหนูอาร์โนลด์
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ฟูลแบ็กดาวรุ่งพุ่งแรง เก็บแอสซิสต์ให้กับตัวเองได้อีกครั้ง หลังจากเปิดเตะมุมให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดสวยผ่านมา นีล เอเธอริดจ์ โกล์เจ้าบ้าน ช่วยปลดล็อกให้ “เดอะ เร้ดส์” ในช่วงต้นครึ่งหลัง

จังหวะแอสซิสต์ของสตาร์ลูกหนังเสื้อเบอร์ 66 ส่งผลให้ช่องว่างในการแข่งทำแอสซิสต์กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันในฤดูกาล 2018-19 สูสีมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” ที่เห็นการแข่งขันดังกล่าวสร้างประโยชน์ให้กับทีมอย่างมาก

ตอนนี้ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 10 ครั้ง ขณะที่ กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 11 ครั้ง โดยอีก 3 เกมที่เหลืออยู่แฟนบอลลิเวอร์พูลคงหวังว่าทั้งสองคนยังผลิตผลงานดีมีคุณภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันไม่ว่าจบซีซั่นนี้ “หงส์แดง” จะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ แต่ คล็อปป์ คงแฮปปี้กับผู้เล่นฟูลแบ็กทั้งสองคนมากๆ

3. ไวจ์นัลดุม ประตูปลดล็อก
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะครองเกมได้เหนือกว่าแต่ดูเหมือนว่านักเตะมีอาการประหม่าสุดๆ ไม่ใช่แค่ผู้เล่นในสนามเท่านั้น เพราะที่ซุ้มม้านั่งสำรอง และบนอัฒจันทร์ต่างก็รู้สึกหวาดหวั่น เนื่องจากทีมยังไม่สามารถยิงประตูขึ้นนำได้ทั้งๆ ที่เกมผ่านมาเกือบ 1 ชั่วโมง

จนกระทั่ง จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม สวมบทผู้ปลดแอกเมื่อเขาวอลเลย์ลูกบอลสุดงามจากการเตะมุมของเจ้าหนูเทรนต์ ถือเป็นการปลดล็อคความเครียด และความประหม่าของลิเวอร์พูลได้ทันที และแน่นอนว่านั่นคงจุดที่ทำให้ทีมมีความมั่นใจมากขึ้น และเดินเครื่องที่จะทำประตูเพิ่ม

หลังจากที่ ดาวเตะเลือดดัตช์ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย แน่นอนว่าทำให้นักเตะและกองเชียร์ผู้มาเยือนระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นมานานได้ซะที แม้ว่านี่จะเป็นเพียงประตูที่สามในฤดูกาลนี้ของไวจ์นัลดุม แต่เป็นประตูที่มีความสำคัญมากๆ ต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

4. 3 ประสานใช้จังหวะเปลื้อง
สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหวาดวิตกสำหรับนักเตะ, โค้ช และผู้เล่นสำรอง ในช่วงครึ่งหลังมาจากการที่ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสหลายต่อหลายครั้งที่จะทำประตูในช่วงครึ่งแรก และนั่นทำให้พวกเขาต้องเจอความกดดันอย่างหนักในการเล่นครึ่งหลัง

จังหวะที่งามหยดที่ “หงส์แดง” ควรจะได้ประตูนำเกิดขึ้นในนาที่ 23 เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ จ่ายบอลตามช่องแบบถวายใส่พานทองคำ ให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษ แต่ยิงบอลผ่านตัว นีล เอเธอริดจ์ หลุดกรอบออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ

ขณะที่ มาเน่ ก็มีโอกาสเช่นกัน เมื่อ ดาวเตะเซเนกัล ได้บอลหน้าเขตโทษฝั่งขวาจากนั้นก็สับไกด้วยขวา แต่บอลหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย ส่วน ซาลาห์ โชว์ลีลาพลิกบอลหนี บรูโน่ เอกูเอเล่ ม็องก้า หลุดเข้าไปดีดด้วยซ้ายในเขตโทษ แต่โดน เอเธอริดจ์ ออกมาบีบมุมเซฟเอาไว้ได้

ในช่วงเวลาคับขันและความตึงเครียดถาโถม แต่พวกเขาได้ฮีโร่อย่าง ไวจ์นัลดุม ที่ยิงประตูปลดล็อกในช่วงเกมผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง หากไม่ได้ประตูของแข้งดัตช์มีหวังสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ยิงกดดันจนถึงขั้นลนลานเลยก็ได้

5. ทุกสายตา “เดอะ ค็อป” จับจ้องเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอล์ด
แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกุมชะตากรรมในการลุ้นแชมป์เอาไว้ในมือเนื่องจากพวกเขาแข่งน้อยกว่า 1 แมตช์ แต่เกมนี้ “เรือใบสีฟ้า” เจอคู่แข่งสำคัญมากๆ นั่นก็คือการทำศึกดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด วันพุธที่ 24 เม.ย.นี้

สำหรับผลการแข่งขันบุกทุบ คาร์ดิฟฟ์ จะทำให้ “เดอะ เร้ดส์” ทวงบัลลังก์จ่าฝูงคืนมาก็ตาม เมื่อพวกเขามีแต้มนำห่าง “เรือใบสีฟ้า” 2 คะแนน แต่ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นจ่าฝูงได้อีกครั้งหากเอาชนะเกมที่ต้องพบ “ปีศาจแดง” ให้ได้

ในเกมล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ยับไม่นับญาติต่อ เอฟเวอร์ตัน 0-4 โดยหลังจบเกมนี้ โซลชา ประกาศก้องขอเรียกศรัทธาคืนจากสาวก “เร้ด อาร์มี่” ด้วยการนำลูกทีมไล่อัด แมนฯ ซิตี้ ให้ได้ เพราะหากทีมชนะพวกเขาก็ยังมีลุ้นซิวตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า

เชื่อหรือไม่ในเกมดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ บรรดาสาวก “เดอะ ค็อป” คงพร้อมใจเชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบสุดใจขาดดิ้นชัวร์

ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก เรือใบสีฟ้า ไม่พลาดทวงฝูงคืน ล้างแค้นไก่ก่อนเยือนผี เช็ก4นัดลุ้นแชมป์ “เรือ-หงส์”

เรือใบสีฟ้า หลังดับแค้นบดเอาชนะ สเปอร์ส ไปแบบหวุดหวิด
นี่เป็น 3 ใน 4 เกมล่าสุดของลูกทีม “เป๊ป” ที่ต้องดวลแข้งกับ “ไก่เดือยทอง” หลังล่าสุดผลลัพธ์มันช่างแสนเจ็บปวดเมื่อ2เกมที่ผ่านมาในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้นต้องตกรอบด้วยน้ำมือของ สเปอร์ส แม้เกมที่สองพวกเขาจะเบียดเอาชนะแต่ต้องร่วงด้วยกฎประตูทีมเยือน ชวดโอกาสผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ

ทำให้ แมนฯซิตี้ เหลือลุ้นคว้า 3 แชมป์ในปีนี้เท่านั้น ซึ่งโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน ได้แชมป์ลีก คัพไปแล้วหนึ่ง เข้าชิงเอฟเอ คัพ กับวัตฟอร์ดหลังปิดลีก และตอนนี้ต้องพุ่งสมาธิมาเน้นกับการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้เท่านั้น

เกมนัดที่ 34 กลับมาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม อีกหนพบกับคู่ปรับ สเปอร์ส อีกครั้ง….เกมนี้ทั้งสองทีมต่างโรเตชั่นแข้งนักเตะกันบ้าง แต่ไม่ทำให้ดีกรีความมันลดน้อยลงเท่าไหร่ สุดท้าย “เรือใบ” ล้างแค้นสำเร็จ

แม้จะหวุดหวิดแค่ 1-0 จากลูกโขกของไอ้หนู ฟิล โฟลเด้น แต่นั้นก็ทำให้ทีมสร้างสถิติซิวชัยชนะในลีกเป็นเกมที่ 10 ติดต่อกัน ทว่าทีมต้องแลกมาด้วยอาการเจ็บของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่จะพลาดเกมไปเยือนโอลด์แทร็ฟฟอร์ดกลางสัปดาห์นี้แน่นอน

กับสามแต้มสำคัญทำให้ “ซิตี้” ทะยานแซง “หงส์แดง” ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงอีกหน มี 86 คะแนน มากกว่า ลิเวอร์พูล ที่มี 85 คะแนน อยู่หนึ่งแต้ม พร้อมลูกได้เสียที่มากกว่า “เร้ด แมชีน” ถึง 8 ลูก

กลายเป็นแมนซิตี้ ที่กุมชะตาแชมป์ของตัวเอง เพราะถ้าคว้าชัยอีก 4 เกมที่เหลือได้ก็จะป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จ โดยไม่ต้องไปดูผลของ “หงส์แดง” เลย

คราวนี้เรามาดูโปรแกรม 4 นัดสุดท้ายของทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล

แมนฯซิตี้ (34 นัด 86 คะแนน)

24 เม.ย. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เยือน)
28 เม.ย. เบิร์นลี่ย์ (เยือน)
04 พ.ค. เลสเตอร์ (เหย้า)
12 พ.ค. ไบรท์ตัน (เยือน)

ลิเวอร์พูล (34 นัด 85 คะแนน)

21 เม.ย. คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ (เยือน)
27 เม.ย. ฮัดเดอร์ฟิลด์ (เหย้า)
05 พ.ค. นิวคาสเซิ่ล (เยือน)
12 พ.ค. วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า)

ส่วนสถานการณ์ท้ายตารางหลังทั้ง ฮัดเดอร์สฟิลด์ และฟูแล่ม ร่วงตกชั้นไปสองทีมแรกแล้ว เหลืออีก 1 ทีม ต้องลุ้นกันอีกต่อไปว่าจะเป็นทีมไหนจะหล่นไปเล่นใน ลีก แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลหน้า

บอร์นมัธ เกมล่าสุดพ่ายให้ ฟูแล่ม แบบน่าเจ็บใจคาบ้านตัวเอง ทั้งที่เกมนี้หากซิวสามแต้มได้ก็จะเพิ่มโอกาสรอดตายสูง

ทางด้าน ไบรท์ตัน ทีมอันดับ 17 ได้มาอีกหนึ่งคะแนนจากเกมบุกไปเยือน วูฟ์สฯ 0-0 ทำให้ต้องลุ้นอีก 4 แมตช์ที่เหลือเช่นกัน

เช่นเดียวกับ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน อันดับ16 ล่าสุดบุกไปพ่าย นิวคาสเซิ่ล ทำให้ต้องดิ้นหนีตายสุดชีวิต ยิ่งเสาร์หน้าตัดแต้มกับ ไบรท์ตัน กันเองด้วยล่ะมันส์แน่

สุดท้าย คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ทีมอันดับ 18 วันอาทิตย์นี้ต้องการสามแต้มเช่นกันเพื่อการอยู่รอด ในเกมรับมือ “หงส์แดง” ซึ่งลูกทีมคล็อปป์ก็ต้องการชัยชนะเช่นกันเพื่อการลุ้นแชมป์

ทิ้งท้ายไปดู อันดับตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมดาวซัลโวล่าสุด หลังจบเกมเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา

นอริช เกือบแย่!ไล่ตีเชฟฯเว้นส์เดย์ทดเจ็บตำแหน่งแชมป์ ชปช. ไม่แน่เสียแล้ว

นอริช ซิตี้ จ่าฝูงและเต็งจ๋าคว้าแชมป์ออกอาการสะดุดหลังทำได้เพียงเปิดบ้านเสมอ “นกเค้าแมว” เชฟฯ เว้นส์เดย์ 2-2 ในศึกฟุตบอล เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา

ครึ่งแรก นอริช ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 นาทีที่ 19 จาก มาร์โก สตีเปอร์มันน์ แต่กลับมาโดน เชฟฯ เว้นส์เดย์ ตีเสมอ 1-1 นาทีที่ 33 จาก เฟร์นานโด ฟอเรสเตียรี่

ครึ่งหลังเป็น เชฟฯ เว้นส์เดย์ แซงนำ 2-1 นาทีที่ 53 จาก สตีเว่น เฟสเซอร์ เกมทำท่าจะจบลงผลสกอร์นี้แต่แล้วนาทีที่ 90+7 นอริช ไล่ตีเสมอ 2-2 จาก มาริโอ วรันชิช และจบลงด้วยผลสกอร์นี้

นอริช ซิตี้ เก็บเพิ่มได้เพียงแต้มเดียวยังคงรั้งจ่าฝูงโดยแข่งไปแล้ว 42 นัดมี 86 คะแนน มี “ดาบคู่” เชฟฯ ยูไนเต็ด และ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด อันดับ 2 และ 3 ตามลำดับไล่จี้มาที่ 82 คะแนน แต่ทั้งสองทีมแข่งไปแล้ว 43 นัด หากดูจากสถานการณ์ดังกล่าวตำแหน่งแชมป์ลีกพระรองของอังกฤษยังคงเปิดกว้างเพราะหาก 4 เกมที่เหลือของนอริชพลาดท่า แล้ว 3 นัดที่เหลือของ เชฟฯ ยูไนเต็ด กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้ดีก็มีโอกาสแซงเข้าป้ายได้เช่นเดียวกัน ต้องติดตามลุ้นกันต่อไป

ฟรีคิกเฉียบ! ลากาแซตต์ ยิงชัยส่ง อาร์เซน่อล บุกเชือด นาโปลี เข้ารอบรองฯยูโรปา

ลากาแซตต์ ซัดฟรีคิกประตูโทนสุดสวยช่วย “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล บุกย้ำแค้นเฉือนชัยเหนือ นาโปลี 1-0 รวมผลสองนัดผ่านเข้ารอบต่อไปสบาย ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปา ลีก (รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดสอง) เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา

นาทีที่ 9 อาร์เซน่อล ขึ้นเกมรุกมาทางฝั่งซ้าย อารอน แรมซี่ย์ โดนกระแทกล้มลงในเขตโทษแต่ผู้ตัดสินเมินเฉยโดยมองว่า แรมซี่ย์ ล้มง่ายเกินไปและแข้งนาโปลีเบียดแย้งเจตนาเล่นที่บอล

เลยมาถึงนาทีที่ 24 นาโปลี ส่งบอลเข้าไปกองก้นตาข่ายโดย อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค หลุดไปชิพบอลผ่านตัว ปีเตอร์ เช็ก แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงเป็นลูกล้ำหน้าเจ้าถิ่นพลาดประตูขึ้นนำไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 28 นาโปลี ได้ลุ้นอีกครั้ง พิโอเตอร์ ซีลินสกี้ โดยบอลไปให้ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิ ล้มตัวโขกโล่งๆ แต่ทิศทางไม่ดีเหินข้ามคานออกไป

ผ่านมาถึงนาทีที่ 36 อาร์เซน่อลได้ประตูขึ้นนำจนได้ 1-0 จากลูกฟรีคิกกลางกรอบเขตโทษระยะประมาณ 25 หลา เป็น อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ รับหน้าที่สังหารปั่นบอลโค้งอ้อมกำแพงเสียบโคนเสาเข้าไปอย่างสวยงาม

นาทีที่ 34 อารอน แรมซี่ย์ ได้รับบาดเจ็บหนักเล่นต่อไม่ไหว อาร์เซน่อลต้องเปลี่ยน เฮนริค มคิทาร์ยาน ลงเล่นแทน

นาที่ที่ 39 ลากาแซตต์ หลุดขึ้นไปเปิดบอลทางฝั่งซ้ายเลยออกเสาไกลไปหน้าตาเฉย โดยที่ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง วิ่งเข้ามาที่จุดนัดหมายไม่ทัน

นาทีที่ 41 นาโปลี โหมบุกขึ้นมาอีกครั้ง และได้ลุ้นจากลูกโหม่งของ โฆเซ่ กาเยฆอน แต่ยังคุมน้ำหนักและทิศทางไม่ได้บอลเหินข้ามคานไปไกล

นาทีถัดมายังคงเป็นนาโปลี ลอเรนโซ่ อินซินเย่ เปิดบอลโด่งสุดเส้นฝั่งซ้ายเลยมาเข้าทาง โฆเซ่ กาเยฆอน หวดเต็มข้อแบบไม่จับแต่ทิศทางยังคงไม่ได้บอลหลุดออกข้างเสาไปอีกครั้ง

จบครึ่งแรก อาร์เซน่อล บุกมานำ นาโปลี เจ้าถิ่น 1-0 โดยสถิติการครองบอลเป็น นาโปลี ที่ดีกว่าถึง 61 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ อาร์เซน่อล ทำได้เพียง 39 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

ครึ่งหลังนาทีที่ 47 เป็นนาโปลี ที่โหมบุกอย่างหนักได้ลุ้นบวกสกอร์ 24 กระชากไปสุดริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนส่งย้อนมาให้ 8 วิ่งเข้ามาซัดข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 58 ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง หวิดทำประตูให้ทัพปืนโตได้แต่ไม่ผ่านมือ อเล็กซ์ เมเร็ต ที่ป้องกันได้ดีกว่า

นาโปลี ยังคงเป็นฝ่ายที่ครองเกมได้มากกว่า นาทีที่ 66 อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค ได้กลับตัวยิงในเขตโทษแต่ไปติดแข้งทีมเยือนกลายเป็นลูกเตะมุม

ท้ายเกมอาร์เซน่อล ได้ลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้ายริมเส้นกรอบประตู เฮนริค มคิทาร์ยาน ยิงข้ามคานออกไป

จบเกม อาร์เซน่อล บุกมาย้ำชัยเหนือ นาโปลี 1-0 รวมผลสองนัดทัพปืนโตผ่านเข้ารอบต่อไปสบายหายห่วงด้วยสกอร์ 3-0

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
นาโปลี (4-4-2) : อเล็กซ์ เมเร็ต – ฟาอูซี่ กูล็อม (มาริโอ รุย น.71), วลาด ชิริเชส, คาลิดู คูลิบาลี่, นิโกล่า มาร์กซิโมวิค (ดรีส์ เมอร์เท่นส์ น.46) – โฆเซ่ กาเยฆอน, อัลลัน, ฟาเบียน รูอิซ, พิโอเตอร์ ซีลินสกี้ – ลอเรนโซ่ อินซินเย่ (อามิน ยูเนส น.61), อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค

อาร์เซน่อล (3-4-1-2) : ปีเตอร์ เช็ก – โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่, อิ๊กนาซิโอ มอนเรอัล – เอนสลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส, กรานิต ชาคา (โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ น.61), ลูคัส ตอร์เรยร่า, เซอัด โคลาซินัช – อารอน แรมซี่ย์ (เฮนริค มคิทาร์ยาน น.34) – ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง, อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ (อเล็กซ์ อิโวบี้ น.68)

เดอ บรอยน์เดือด-ซนดุ! ตัดเกรดนักเตะนัดสเปอร์สบุกดับฝันแมนซิตี้

แมนฯซิตี้ สู้ไม่ถอยแม้จะต้องเสียเปรียบเรื่องอเวย์โกล์ แต่พวกเขาก็สามารถยิงแซงได้ อย่างไรก็ตามแค่จังหวะเดียว สเปอร์ส สามารถพลิกเกมจากนักเตะสำรองส่งให้ทีมเข้ารอบรองชนะเลิศ มีหนึ่งแข้งเกมนี้ที่ได้คะแนนไปถึง 9 แต้ม จากฟอร์มสุดเทพ เป็นคนไหนจากทีมไหนไปดูกัน

แมนฯ ซิตี้

เอแดร์ซอน โมราเอส 6.5
ประตูที่เสียทั้งหมดคงโทษเขาไม่ได้ มีจังหวะเซฟลูกยิงของ ยอเรนเต้

ไคล์ วอล์คเกอร์ 7
เปิดพื้นที่ให้ ซน ฮึง-มิน เล่นง่าย เกมรับอาจจะไม่แน่น แต่ช่วยเติมเกมบุกได้ดีตลอด

แว็งซ็องต์ ก็อมปานี 7.5
หลังจากเสียสองประตูช่วงต้นเกม เขาก็ช่วยป้องกันเกมรับได้ค่อนข้างเยอะ เคลียร์จังหวะสำคัญได้ตลอด

เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ 4
เป็นคนทำพลาดประตูแรก และเป็นคนประกบ ยอเรนเต้ พลาดในประตูสุดท้าย

เบนฌาแม็ง เมนดี้ 7
คุมเกมฝั่งซ้ายได้เยี่ยม เติมเกมรุกได้หลายจังหวะ แต่เกมรับยังมีผิดพลาดอยู่บ้าง

เควิน เดอ บรอยน์ 9
เจ้าพ่อแอสซิสต์ของแท้ จ่ายให้เพื่อนร่วทีมทำประตูไป 3 ครั้ง แถมการพาบอลขึ้นหน้าของเขาสร้างปัญหาให้แนวรับสเปอร์สมาก

อิลคาย กุนโดกัน 7
แม้เกมรับในนัดนี้อาจจะทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่มีส่วนสำคัญในเกมรุกโดยเฉพาะประตูที่ 4 เขาเป็นคนเริ่มทำเกม

ดาบิด ซิลบา 6.5
อาจจะเล่นได้ตามมาตรฐาน แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่าแนวรุกคนอื่น

ราฮีม สเตอร์ลิง 8
ทำสองประตูตั้งแต่ต้นเกม ทำให้ตลอดทั้งเกมดูมั่นใจ น่าเสียดายกับประตูในช่วงทดเจ็บ

เซร์คิโอ ”กุน” อเกวโร่ 8
ทำแอสซิสต์ให้ ดาบิด ซิลบา ก่อนจะมาซัดประตูสำคัญในครึ่งหลัง น่าเสียดายประตูเขากลายเป็นประตูไร้ความหมาย

แบร์นาร์โด้ ซิลวา 7.5
สร้างปัญหาให้แนวรับ สเปอร์ส ได้เยอะ ยิงประตูตีเสมอช่วงต้นเกม เป็นคนเริ่มทำเกมในประตูที่สาม

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

แฟร์นานดินโญ่ 6 (ลงมาแทน ดาบิด ซิลบา น.63)
มีตัดเกมสวยๆอยู่บ้าง

เลรอย ซาเน่ – (ลงมาแทน เบนฌาแม็ง เมนดี้ น.84)
ลงมาท้ายเกมแล้ว

สเปอร์ส

อูโก้ โยริส 7.5
หมดสิทธิ์รับลูกยิงทุกลูกที่เสีย แต่ก็ช่วยทีมเซฟประตูค่อนข้างเยอะ

คีแรน ทริปเปียร์ 5
โดน ราฮีม สเตอร์ลิง ปั่นป่วนค่อนข้างมาก โดนโยกหลอกง่ายๆในประตูแรกแถมปล่อยให้ยิงประตูที่สองง่ายๆ

โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ 7
เจองานหนักตลอดทั้งเกม มีบล็อคลูกยิงสำคัญของ อเกวโร่ ฟอร์มโดยรวมยังถือว่าใช้ได้

แยน แฟร์ต็องเก้น 6.5
หยุด อเกวโร่ ยิงประตูที่ 4 ไม่ได้ ฟอร์มมาดีในช่วง 15 นาทีสุดท้ายที่ทีมป้องกันเกมบุกพายุของ แมนฯซิตี้

แดนนี่ โรส 6
โชคร้ายกับลูกยิงแฉลบมาโดนเขาเข้าประตู มีจังหวะตัดบอลสวยๆอยู่บ้าง

มุสซ่า ซิสโซโก้ 5.5
ประกบผู้เล่น เดอ บรอยน์ ค่อนข้างห่างเลยทำให้เสียประตูแรก มีช่วยเกมรับได้บ้าง โชคร้ายได้รับบาดเจ็บจนต้องเลี่ยนตัว

วิคเตอร์ วานยาม่า 6
งานชุกพอสมควรกับการับมือเกมบุก แมนฯซิตี้ บางจังหวะตัดเกมเยี่ยมและนิ่ง แต่บางจังหวะก็ผิดพลาด

คริสเตียน เอริคเซ่น 6.5
จัดแอสซิสต์ให้ ซน ฮึง-มิน ช่วงต้นเกมแทบเป็นศูนย์กลางในการทำเกมรุก แต่หลังจากนั้นการมีส่วนร่วมกับเกมน้อยลงไป

เดเล่ อัลลี่ 6
มีส่วนสำคัญในการได้ประตูตีเสมอช่วงต้นเกม แต่โดน แมนฯซิตี้ บีบบังคับให้เล่นเกมรับเป็นส่วนใหญ่ เจอ เดอ บรอยน์ เผาเครื่องหลายครั้ง

ลูคัส มูร่า 7
มีส่วนสำคัญในประตูที่สอง การวิ่งและเคลื่อนที่ของเขาทำได้ยอดเยี่ยม แต่ฟอร์มหายไปในครึ่งหลัง

ซน ฮึง-มิน 8
เปิดเกมด้วยการยิงสองประตูสุดสวย ปั่นป่วนแนวรับ แมนฯซิตี้ ได้เกือบทั้งเกม

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

เฟร์นานโด ยอเรนเต้ 6.5 (ลงมาแทน มุสซ่า ซิสโซโก้ น.41)
อาจจะไม่ได้มีส่วนกับเกมมาก แต่ก็ลูกโหม่งไว้ใจเขาได้ มีโหม่งเตือนกองหลังแมนฯซิตี้ ก่อนจะทำประตูสำคัญพาทีมเข้ารอบ

เบน เดวิส – (ลงมาแทน ลูคัส มูร่า น.82)
ลงมาช่วยเกมรับเป็นส่วนใหญ่

ดาวินซอน ซานเชซ – (ลงมาแทน แดนนี่ โรส น.90+1)
ลงมาท้ายเกมแล้ว

ไร้ปาฎิหาริย์ที่คัมป์นู! เมสซี่โชว์เบิ้ล บาร์เซโลน่าย้ำชัยอัดแมนยูยับ ลิ่วตัดเชือกชปล.

เมสซี่ ขยี้แนวรับปีศาจแดงเละเทะเมื่อจัดการสองประตูก่อนพา บาร์เซโลน่า เปิดคัมป์นูไล่ถลุงเอาชนะไปได้ 3-0 รวมผลสองนัดผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศด้วยประตูรวม 4-0 โดยจะเข้าไปพบผู้ชนะระหว่าง ปอร์โต้ หรือลิเวอร์พูล ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ8ทีมสุดท้าย นัดสอง เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

สนาม : คัมป์ นู, ประเทศสเปน (ผลการแข่งขันนัดแรก บาร์เซโลน่า ชนะ 1-0)

ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง วันอังคารที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา เจ้าถิ่น บาร์เซโลน่า กลับมาเฝ้ารังเปิดคัมป์ นู รับการมาเยือนของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังนัดแรกที่โอลด์แทร็ฟฟอร์ด “เจ้าบุญทุ่ม” บุกไปคว้าชัยมาก่อน 1-0

เกมนี้ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ยังยึดขุมกำลังชุดเดิมแนวรุกใช้สามประสานตัวเก่งทั้ง ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ และฟิลิปเป้ คูตินโญ่

ส่วนทางฝั่ง “ผีแดง” เกมนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือของแมนฯยูไนเต็ด บินมาให้กำลังใจแข้งปีศาจแดงถึงคัมป์นู โดยเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้รับข่าวดีหลังได้ทั้ง อเล็กซิส ซานเชซ และเนมานย่า มาติช หายเจ็บกลับมาช่วยทีม แต่เกมนี้เป็นแค่สำรองไปก่อนเช่นเดียวกับ โรเมลู ลูกากู โดยสามประสานแนวรุกใช้ เจสซี่ ลินการ์ด, มาร์คัส แรชฟอร์ด และอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ส่วนแนวรับ ลุค ชอว์ ที่ติดโทษแบนวันนี้โยกเอา แอชลี่ย์ ยัง มาประจำการแทน แล้วส่ง ฟิล โจนส์ เล่นแบ็กขวา

เกมเปิดฉากมาได้แค่ 39 วินาที “ปีศาจแดง” เกือบได้ประตูขึ้นนำไปก่อน เมื่อ ปอล ป็อกบา แทงบอลให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปจิ้มด้วยหัวเกือกขวาบอลพุ่งชนคานออกหลังไป

นาที 9 ลินการ์ด ได้บอลตรงกลางสนามก่อนไหลให้ ป็อกบา ลองชิพบอลไกลกว่า 40 หลา แต่บอลลอยโด่งหลุดหลังออกไปแบบไม่ได้ลุ้น

กระทั่ง นาที 11 แฟนผีแดงเงียบกันกริบหลัง เฟลิกซ์ บรีช ผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษแก่เจ้าถิ่นหลัง อีวาน ราคิติช โดนเฟร็ดเข้ามาฟาวล์ด้านหลังในเขตโทษ ก่อนเชิ้ตดำจะขอดู VAR ข้างสนามก่อนวิ่งมาแล้วเปลี่ยนคำตัดสินไม่ให้จุดโทษแก่บาร์ซ่า หลังภาพช้าเห็นได้ชัดว่า เฟร็ด เข้าไปถึงบอลก่อนราคิติชจะล้มตัวลง

แต่แล้วอีก 5 นาทีต่อมา บาร์เซโลน่า ก็ชิงขึ้นนำ 1-0 จนได้ จากจังหวะเคลียร์บอลไม่ขาดของ แอชลี่ย์ ยัง ที่สกัดบอลไปติดแข้งเจ้าถิ่นก่อนบอลจะกระดอนมาเข้าทาง เมสซี่ ยกหลบ แอชลี่ย์ ยัง ก่อนหลบ เฟร็ด ลากตัดเข้ากลางแล้วซัดด้วยซ้ายหน้าหัวกระโหลกกว่า 20 หลา บอลพุ่งหนีมือ เด เคอา เสียบมุมตาข่ายอย่างสวยงาม

จากไม่กี่อึดใจ นาที 20 เจ้าถิ่นฉีกนำห่างเป็น 2-0 เมสซี่ ฉกบอลได้ก่อนถึง เฟร็ด ก่อนลากผ่าน ฟิล โจนส์ เข้าไปยิงด้วยเท้าขวาข้างไม่ถนัด บอลพุ่งไม่หนีมือ เค เคอา แต่นายทวารมือหนึ่งทีมชาติสเปนดันรับบอลพลาดปลิ้นทะลักเข้าประตูไป เป็นประตูที่สองในเกมนี้มีลุ้นแฮตทริก และเป็นประตูที่ 10 นำดาวซัลโวของแชมเปี้ยนส์ลีก

เกมผ่านไป 30 นาที ด้วยสกอร์ที่นำห่าง 2-0 ทำให้เจ้าถิ่นเล่นได้ง่ายขึ้น ครองบอลได้มากกว่า ตรงกันข้ามแข้งผีแดงความมั่นใจกลับลดน้อยลงไป ปั้นเกมแทบไม่ถึงหน้าปากประตูเหมือนช่วง 10 นาทีแรก

นาที 38 แมนยู ได้ตอบโต้บาง คราวนี้ ลินการ์ด ให้บอล ปอล ป็อกบา ก่อนห้องเครื่องดีกรีแชมป์โลกจะซัดนอกกรอบแต่บอลพุ่งไปเข้ามือ มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น รับไว้ได้ไม่มีปัญหา

นาที 42 “ปีศาจแดง” มาได้ฟรีคิกระยะกว่า 30 หลา มาร์คัส แรชฟอร์ด สาวเท้าวิ่งมายิงเต็มแรงแต่บอลพุ่งไม่ผ่านกำแพง

ช่วงทดเจ็บก่อนหมดครึ่งแรก เจ้าถิ่นเกือบได้ประตูที่สาม หลัง เมสซี่ พาบอลโยกหลอก ฟิล โจนส์ แล้วจ่ายเร็วให้ จอร์ดี้ อัลบา ปาดบอลไปเสาสองถึง แซร์จี้ โรแบร์โต้ แบ็กขวาที่เติมมาสไลด์ตัวยิงบอลจะข้ามเส้นอยู่แล้วแต่ เด เคอา ยังตามเซฟบนเส้นปัดออกมาได้

จบครึ่งแรก บาร์เซโลน่า ขึ้นนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 สกอร์รวมสองนัดตอนนี้ “เจ้าบุญทุ่ม” นำห่าง 3-0

ครึ่งหลัง กลับมาเล่นได้แค่สองนาที นาที 47 เมสซี่ เกือบพังแฮตทริกในเกมนีได้สำเร็จ หลังวิ่งมาอัดด้วยซ้ายจากลูกเปิดของ ซัวเรซ บอลไปแฉลบขาแอชลี่ย์ ยัง ออกหลังแบบได้ลุ้น

จนแล้วจนรอด นาที 61 บาร์เซโลน่า มาได้ประตูนำห่าง 3-0 บอลจาก เมสซี่ ที่เก็บบอลกลางสนามแล้วขวางยาวมาให้ จอร์ดี้ อัลบา แตะบอลจังหวะเดียวให้ คูตินโญ่ ก่อนจะตะบันนอกกรอบปั่นบอลโค้งหนีมือ เด เคอา เสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างสวยงาม ทำให้ประตูรวมตอนนี้ บาร์ซ่า หนีห่างเป็น 4-0

อีก 4 นาทีถัดมา สกอร์เกือบเปลี่ยนอีกครั้ง จากจังหวะที่แนวรับ แมนฯ ยูไนเต็ด สกัดบอลไม่ขาดในเขตโทษตัวเอง เมสซี่ ตีลังกายิงหลุดกรอบออกไป

นาที 65 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เปลี่ยนตัวคนแรก ถอดเอา อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล แล้วส่ง ดีโอโก้ ดาโลต์ ลงไปเล่นแทน

นาที 71 เป็นทางฝั่งเจ้าถิ่นที่เปลี่ยนตัวบ้างเอา เนลสัน ซาเมโด้ ลงเล่นแทนแซร์จี้ โรแบร์โต้ ถัดมาอีกสองนาที “ปีศาจแดง” เอามาร์คัส แรชฟอร์ด ออกแล้วส่ง โรเมลู ลูกากู ลงเล่นแทน

อาคันตุกะแทบจะบุกไปขึ้น เจาะแนวรับบาร์เซโลน่าไม่ได้เลย นาที 78 เจสซี่ ลินการ์ด ได้ลองยิงไกลกว่า 30 หลา แต่ยังไม่ดีพอบอลพุ่งเหินคานไปแบบหมดลุ้น

นาทีสุดท้าย แมนฯยูฯ เกือบได้ลูกตีไข่แตก ดีโอโก้ ดาโลต์ ครอสบอลมาให้ อเล็กซิส ซานเชซ โขกเต็มหัวแต่บอลยังไม่ผ่าน มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น ปัดออกหลังไปได้

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม บาร์เซโลน่า เปิดบ้านไล่ต้อนเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้อย่างขาดลอย 3-0 รวมผลสองนัดผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ ด้วยประตูรวม 4-0 โดยจะเข้าไปพบผู้ชนะระหว่าง ปอร์โต้ หรือ ลิเวอร์พูล

รายชื่อนักเตะที่ลงสนาม

บาร์เซโลน่า (4-3-3) : มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น – แชร์จี้ โรแบร์โต้ (เนลสัน ซาเมโด้ น.71), เคราร์ด ปีเก้, เกลมงต์ ล็องก์เล่ต์, จอร์ดี้ อัลบา – อิวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อาร์เธอร์ (อาร์ตูโร่ วิดาล น.75) – ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (อูสมาน เดมเบเล่ น.81)

เทรนเนอร์ : เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้

แมนฯ ยูไนเต็ด (4-3-3) : ดาบิด เด เคอา – ฟิล โจนส์, คริส สมอลลิ่ง, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แอชลี่ย์ ยัง – สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, ปอล ป็อกบา – เจสซี่ ลินการ์ด (อเล็กซิส ซานเชซ น.80), มาร์คัส แรชฟอร์ด (โรเมลู ลูกากู น.73), อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล (ดีโอโก้ ดาโลต์ น.65)

ยิงแค่นอกสนาม! นางแบบแฉซานเชซเจ้าชู้ตัวพ่อ เมียร์ธ่าโซซ่า

เมียร์ธ่าโซซ่า นางแบบสาวสุดเอ็กซ์ แฉสนั่น อเล็กซิส ซานเชซ กองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โกหกเก่งยิ่งกว่ายิงประตู เพราะขณะที่พยายามแจกขนมจีบเธอ ก็แอบคั่วกิ๊กเอาไว้ในสต๊อกเพียบ พร้อมระบุปฏิเสธไปอังกฤษตามคำเชิญของเจ้าตัว เนื่องจากไม่อยากเป็นแค่ยางอะไหล่คลายเหงาชั่วข้ามคืนเหมือนสาวๆ คนอื่น
เมียร์ธ่า โซซ่า นางแบบสุดเซ็กซี่ชาวปารากวัย ตราหน้า อเล็กซิส ซานเชซ หัวหอกฟอร์มฝืด “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นพวก “เสือผู้หญิง” ตัวพ่อ หลังจากเธอแฉสนั่นว่า ดาวเตะชาวชิลี โหมกระหน่ำโทรหาเธอตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แต่ดันคบซ้อนสาวอีกหลายคน

โซซ่า ซึ่งมีคนติดตามอินสตาแกรมกว่า 96,000 ฟอลโลว์ เผยว่าตอนที่คบกับ อดีตกองหน้า “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า และ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ซึ่งเขาได้เชิญเธอไปที่ประเทศอังกฤษ ได้รู้ความจริงที่หลังว่า ซานเชซ ไม่ได้คุยกับเธอแค่คนเดียว เพราะเขามีกิ๊กอีกหลายคนในเวลาเดียวกัน

โมเดลสาวพราวเสน่ห์ เผยว่า “เขาขอเบอร์โทรศัพท์ฉัน เราเริ่มส่งข้อความ และเราก็ได้รู้จักกันและกันมากขึ้น เราวีดิโอคอลหากัน และฉันก็เริ่มสนใจเขา เพราะฉันเชื่อใจเขา และสุดท้ายเขาก็โกหก เขาส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ฉันเพื่อเดินทางไปหาเขา แต่ฉันไม่ไป”

“ฉันบอกกับเขาว่าถ้าฉันไป ก็ต้องในฐานะคนที่พร้อมจะเปิดเผยต่อสาธารณชน และสื่อ ฉันไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้หญิงจำนวนมากที่เคยเดินทางไปที่นั่นเพื่อชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และมันก็แค่นั้นแหละ” นางแบบสาวเลือดปารากวัย กล่าวทิ้งท้าย