Design a site like this with WordPress.com
เริ่มได้

ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์10 ตำแหน่งและก้าวต่อไป

ลิเวอร์พูล หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จารึกชื่อเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2018-19 อย่างเป็นทางการ หลังในเกมรอบชิงชนะเลิศ เป็นฝ่ายเอาชนะ สเปอร์ส ไปได้ 2-0 ที่สังเวียน ว่านต๋า เมโตรโปลิตาโน่ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา

จากชัยชนะในเกมดังกล่าวทำให้พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 6 ซึ่งเป็นสถิติที่ทีมจากเกาะอังกฤษเคยทำได้ ดูบอลออนไลน์ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละเกม เราลองย้อนไปดูเส้นทางสู่แชมป์ของพวกเขากัน

ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ามาเล่นในฤดูกาลนี้ด้วยการจบอันดับที่ 4 ในลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้คว้าสิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติอยู่ในกลุ่มซี ร่วมกับ เปแอสเช จากฝรั่งเศส, นาโปลี ของอิตาลี และ เซอร์เวน่า ซเวซด้า จากเซอร์เบียหนทางในรอบแบ่งกลุ่มไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อพวกเขามีผลงานในการเล่นเป็นทีมเยือนสุดย่ำแย่แพ้รวดทั้ง 3 เกม ทำให้ต้องไปลุ้นเข้ารอบในเกมสุดท้ายที่พบกับ นาโปลี ก่อนเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ซึ่งทำให้สถานการณ์พลิกกลับมาทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบแบบหวุดหวิด ด้วยการมี 9 คะแนนเท่ากับ นาโปลี แม้เฮดทูเฮดจะเท่ากันแต่ “พลพรรคหงส์แดง” ประตูยิงได้มากกว่า เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ตามแชมป์กลุ่มอย่าง เปแอสเช ที่เก็บไปได้ 11 คะแนน

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.sanook.com

ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก เรือใบสีฟ้า ไม่พลาดทวงฝูงคืน ล้างแค้นไก่ก่อนเยือนผี เช็ก4นัดลุ้นแชมป์ “เรือ-หงส์”

เรือใบสีฟ้า หลังดับแค้นบดเอาชนะ สเปอร์ส ไปแบบหวุดหวิด
นี่เป็น 3 ใน 4 เกมล่าสุดของลูกทีม “เป๊ป” ที่ต้องดวลแข้งกับ “ไก่เดือยทอง” หลังล่าสุดผลลัพธ์มันช่างแสนเจ็บปวดเมื่อ2เกมที่ผ่านมาในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้นต้องตกรอบด้วยน้ำมือของ สเปอร์ส แม้เกมที่สองพวกเขาจะเบียดเอาชนะแต่ต้องร่วงด้วยกฎประตูทีมเยือน ชวดโอกาสผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ

ทำให้ แมนฯซิตี้ เหลือลุ้นคว้า 3 แชมป์ในปีนี้เท่านั้น ซึ่งโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน ได้แชมป์ลีก คัพไปแล้วหนึ่ง เข้าชิงเอฟเอ คัพ กับวัตฟอร์ดหลังปิดลีก และตอนนี้ต้องพุ่งสมาธิมาเน้นกับการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้เท่านั้น

เกมนัดที่ 34 กลับมาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม อีกหนพบกับคู่ปรับ สเปอร์ส อีกครั้ง….เกมนี้ทั้งสองทีมต่างโรเตชั่นแข้งนักเตะกันบ้าง แต่ไม่ทำให้ดีกรีความมันลดน้อยลงเท่าไหร่ สุดท้าย “เรือใบ” ล้างแค้นสำเร็จ

แม้จะหวุดหวิดแค่ 1-0 จากลูกโขกของไอ้หนู ฟิล โฟลเด้น แต่นั้นก็ทำให้ทีมสร้างสถิติซิวชัยชนะในลีกเป็นเกมที่ 10 ติดต่อกัน ทว่าทีมต้องแลกมาด้วยอาการเจ็บของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่จะพลาดเกมไปเยือนโอลด์แทร็ฟฟอร์ดกลางสัปดาห์นี้แน่นอน

กับสามแต้มสำคัญทำให้ “ซิตี้” ทะยานแซง “หงส์แดง” ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงอีกหน มี 86 คะแนน มากกว่า ลิเวอร์พูล ที่มี 85 คะแนน อยู่หนึ่งแต้ม พร้อมลูกได้เสียที่มากกว่า “เร้ด แมชีน” ถึง 8 ลูก

กลายเป็นแมนซิตี้ ที่กุมชะตาแชมป์ของตัวเอง เพราะถ้าคว้าชัยอีก 4 เกมที่เหลือได้ก็จะป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จ โดยไม่ต้องไปดูผลของ “หงส์แดง” เลย

คราวนี้เรามาดูโปรแกรม 4 นัดสุดท้ายของทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล

แมนฯซิตี้ (34 นัด 86 คะแนน)

24 เม.ย. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เยือน)
28 เม.ย. เบิร์นลี่ย์ (เยือน)
04 พ.ค. เลสเตอร์ (เหย้า)
12 พ.ค. ไบรท์ตัน (เยือน)

ลิเวอร์พูล (34 นัด 85 คะแนน)

21 เม.ย. คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ (เยือน)
27 เม.ย. ฮัดเดอร์ฟิลด์ (เหย้า)
05 พ.ค. นิวคาสเซิ่ล (เยือน)
12 พ.ค. วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า)

ส่วนสถานการณ์ท้ายตารางหลังทั้ง ฮัดเดอร์สฟิลด์ และฟูแล่ม ร่วงตกชั้นไปสองทีมแรกแล้ว เหลืออีก 1 ทีม ต้องลุ้นกันอีกต่อไปว่าจะเป็นทีมไหนจะหล่นไปเล่นใน ลีก แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลหน้า

บอร์นมัธ เกมล่าสุดพ่ายให้ ฟูแล่ม แบบน่าเจ็บใจคาบ้านตัวเอง ทั้งที่เกมนี้หากซิวสามแต้มได้ก็จะเพิ่มโอกาสรอดตายสูง

ทางด้าน ไบรท์ตัน ทีมอันดับ 17 ได้มาอีกหนึ่งคะแนนจากเกมบุกไปเยือน วูฟ์สฯ 0-0 ทำให้ต้องลุ้นอีก 4 แมตช์ที่เหลือเช่นกัน

เช่นเดียวกับ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน อันดับ16 ล่าสุดบุกไปพ่าย นิวคาสเซิ่ล ทำให้ต้องดิ้นหนีตายสุดชีวิต ยิ่งเสาร์หน้าตัดแต้มกับ ไบรท์ตัน กันเองด้วยล่ะมันส์แน่

สุดท้าย คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ทีมอันดับ 18 วันอาทิตย์นี้ต้องการสามแต้มเช่นกันเพื่อการอยู่รอด ในเกมรับมือ “หงส์แดง” ซึ่งลูกทีมคล็อปป์ก็ต้องการชัยชนะเช่นกันเพื่อการลุ้นแชมป์

ทิ้งท้ายไปดู อันดับตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมดาวซัลโวล่าสุด หลังจบเกมเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา

เดอ บรอยน์เดือด-ซนดุ! ตัดเกรดนักเตะนัดสเปอร์สบุกดับฝันแมนซิตี้

แมนฯซิตี้ สู้ไม่ถอยแม้จะต้องเสียเปรียบเรื่องอเวย์โกล์ แต่พวกเขาก็สามารถยิงแซงได้ อย่างไรก็ตามแค่จังหวะเดียว สเปอร์ส สามารถพลิกเกมจากนักเตะสำรองส่งให้ทีมเข้ารอบรองชนะเลิศ มีหนึ่งแข้งเกมนี้ที่ได้คะแนนไปถึง 9 แต้ม จากฟอร์มสุดเทพ เป็นคนไหนจากทีมไหนไปดูกัน

แมนฯ ซิตี้

เอแดร์ซอน โมราเอส 6.5
ประตูที่เสียทั้งหมดคงโทษเขาไม่ได้ มีจังหวะเซฟลูกยิงของ ยอเรนเต้

ไคล์ วอล์คเกอร์ 7
เปิดพื้นที่ให้ ซน ฮึง-มิน เล่นง่าย เกมรับอาจจะไม่แน่น แต่ช่วยเติมเกมบุกได้ดีตลอด

แว็งซ็องต์ ก็อมปานี 7.5
หลังจากเสียสองประตูช่วงต้นเกม เขาก็ช่วยป้องกันเกมรับได้ค่อนข้างเยอะ เคลียร์จังหวะสำคัญได้ตลอด

เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ 4
เป็นคนทำพลาดประตูแรก และเป็นคนประกบ ยอเรนเต้ พลาดในประตูสุดท้าย

เบนฌาแม็ง เมนดี้ 7
คุมเกมฝั่งซ้ายได้เยี่ยม เติมเกมรุกได้หลายจังหวะ แต่เกมรับยังมีผิดพลาดอยู่บ้าง

เควิน เดอ บรอยน์ 9
เจ้าพ่อแอสซิสต์ของแท้ จ่ายให้เพื่อนร่วทีมทำประตูไป 3 ครั้ง แถมการพาบอลขึ้นหน้าของเขาสร้างปัญหาให้แนวรับสเปอร์สมาก

อิลคาย กุนโดกัน 7
แม้เกมรับในนัดนี้อาจจะทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่มีส่วนสำคัญในเกมรุกโดยเฉพาะประตูที่ 4 เขาเป็นคนเริ่มทำเกม

ดาบิด ซิลบา 6.5
อาจจะเล่นได้ตามมาตรฐาน แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่าแนวรุกคนอื่น

ราฮีม สเตอร์ลิง 8
ทำสองประตูตั้งแต่ต้นเกม ทำให้ตลอดทั้งเกมดูมั่นใจ น่าเสียดายกับประตูในช่วงทดเจ็บ

เซร์คิโอ ”กุน” อเกวโร่ 8
ทำแอสซิสต์ให้ ดาบิด ซิลบา ก่อนจะมาซัดประตูสำคัญในครึ่งหลัง น่าเสียดายประตูเขากลายเป็นประตูไร้ความหมาย

แบร์นาร์โด้ ซิลวา 7.5
สร้างปัญหาให้แนวรับ สเปอร์ส ได้เยอะ ยิงประตูตีเสมอช่วงต้นเกม เป็นคนเริ่มทำเกมในประตูที่สาม

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

แฟร์นานดินโญ่ 6 (ลงมาแทน ดาบิด ซิลบา น.63)
มีตัดเกมสวยๆอยู่บ้าง

เลรอย ซาเน่ – (ลงมาแทน เบนฌาแม็ง เมนดี้ น.84)
ลงมาท้ายเกมแล้ว

สเปอร์ส

อูโก้ โยริส 7.5
หมดสิทธิ์รับลูกยิงทุกลูกที่เสีย แต่ก็ช่วยทีมเซฟประตูค่อนข้างเยอะ

คีแรน ทริปเปียร์ 5
โดน ราฮีม สเตอร์ลิง ปั่นป่วนค่อนข้างมาก โดนโยกหลอกง่ายๆในประตูแรกแถมปล่อยให้ยิงประตูที่สองง่ายๆ

โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ 7
เจองานหนักตลอดทั้งเกม มีบล็อคลูกยิงสำคัญของ อเกวโร่ ฟอร์มโดยรวมยังถือว่าใช้ได้

แยน แฟร์ต็องเก้น 6.5
หยุด อเกวโร่ ยิงประตูที่ 4 ไม่ได้ ฟอร์มมาดีในช่วง 15 นาทีสุดท้ายที่ทีมป้องกันเกมบุกพายุของ แมนฯซิตี้

แดนนี่ โรส 6
โชคร้ายกับลูกยิงแฉลบมาโดนเขาเข้าประตู มีจังหวะตัดบอลสวยๆอยู่บ้าง

มุสซ่า ซิสโซโก้ 5.5
ประกบผู้เล่น เดอ บรอยน์ ค่อนข้างห่างเลยทำให้เสียประตูแรก มีช่วยเกมรับได้บ้าง โชคร้ายได้รับบาดเจ็บจนต้องเลี่ยนตัว

วิคเตอร์ วานยาม่า 6
งานชุกพอสมควรกับการับมือเกมบุก แมนฯซิตี้ บางจังหวะตัดเกมเยี่ยมและนิ่ง แต่บางจังหวะก็ผิดพลาด

คริสเตียน เอริคเซ่น 6.5
จัดแอสซิสต์ให้ ซน ฮึง-มิน ช่วงต้นเกมแทบเป็นศูนย์กลางในการทำเกมรุก แต่หลังจากนั้นการมีส่วนร่วมกับเกมน้อยลงไป

เดเล่ อัลลี่ 6
มีส่วนสำคัญในการได้ประตูตีเสมอช่วงต้นเกม แต่โดน แมนฯซิตี้ บีบบังคับให้เล่นเกมรับเป็นส่วนใหญ่ เจอ เดอ บรอยน์ เผาเครื่องหลายครั้ง

ลูคัส มูร่า 7
มีส่วนสำคัญในประตูที่สอง การวิ่งและเคลื่อนที่ของเขาทำได้ยอดเยี่ยม แต่ฟอร์มหายไปในครึ่งหลัง

ซน ฮึง-มิน 8
เปิดเกมด้วยการยิงสองประตูสุดสวย ปั่นป่วนแนวรับ แมนฯซิตี้ ได้เกือบทั้งเกม

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

เฟร์นานโด ยอเรนเต้ 6.5 (ลงมาแทน มุสซ่า ซิสโซโก้ น.41)
อาจจะไม่ได้มีส่วนกับเกมมาก แต่ก็ลูกโหม่งไว้ใจเขาได้ มีโหม่งเตือนกองหลังแมนฯซิตี้ ก่อนจะทำประตูสำคัญพาทีมเข้ารอบ

เบน เดวิส – (ลงมาแทน ลูคัส มูร่า น.82)
ลงมาช่วยเกมรับเป็นส่วนใหญ่

ดาวินซอน ซานเชซ – (ลงมาแทน แดนนี่ โรส น.90+1)
ลงมาท้ายเกมแล้ว

ไก่จิกเรือจม : ชำแหละ 5 ข้อ สเปอร์ส ฟอร์มแจ่มดับซ่า แมนซิตี้

สเปอร์ส ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อหักปากกาเซียนเฆี่ยน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 1-0 ที่สนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา
แมตช์นี้ “ไก่เดือยทอง” มาดีเล่นอย่างรัดกุม โดยเฉพาะกองกลางที่ทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยมทั้ง แฮร์รี่ วิงค์ส กับ มุสซ่า ซิสโซโก้ จัดการแผงมิดฟิลด์ของ แมนฯ ซิตี้ อยู่หมัด ขณะเดียวกัน ซน ฮึง-มิน หัวหอกตัวเก่ง โชว์ทักษะสุดยอดตะบันประตูโทนให้กับต้นสังกัด โดยงานนี้หลายคนยกให้ ดาวยิงกิมจิ ถูกโฉลกกับสนามเหย้าใหม่เพราะซัดไปแล้ว 2 ประตูที่นี่

อย่างไรก็ตาม สเปอร์ส ต้องมีเรื่องน่ากังวลใจอย่างมาก เพราะ แฮร์รี่ เคน หัวหอกตัวความหวัง ดันเกิดได้รับบาดเจ็บที่บริเวณข้อเท้า และตอนนี้ต้องลุ้นว่าอาการจะหนักมากแค่ไหน แน่นอนว่าเรื่องนี้คงทำให้แฟนบอล “ไก่เดือยทอง” วิตกสุดๆ เพราะในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น มีเกมสำคัญหลายแมตช์ที่อาจชี้อนาคตของทีมเลยทีเดียว

1) กิมจิพิฆาต
ซน ฮึง-มิน กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้ ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับการเล่นในสนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม เมื่อเขายิงประตูสำคัญในแมตช์ที่รับมือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้โอกาสได้เข้ารอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ค่อนข้างสดใส

สำหรับจังหวะสำคัญดังกล่าวอาจดูเหมือนว่า “อาซน” แทบจะหมดโอกาสยิงประตูเพราะในจังหวะแรกเขาจับบอลไม่ค่อยดีนัก และล้นจนเกือบจะออกเส้นหลังประตู แต่ด้วยความขยันผสมกับความรวดเร็วทำให้เจ้าตัววิ่งไปจับบอลได้บนเส้นหลังประตูพอดิบพอดี

จากนั้นก็โชว์สเต็ปด้วยการโยกหลอก ฟาเบียน เดลป์ และวิ่งตัดเข้ากลางก่อนตะบันเต็มข้อบอลผ่านตัว เอแดร์ซอน เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม โดยประตูดังกล่าวเป็นประตูทองที่ทำให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ถือความได้เปรียบในการเล่นเกมแรก รอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก

ตอนนี้ หัวหอกพลังกิมจิ กดไปแล้ว 18 ประตู จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 40 นัดในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับฤดูกาลก่อนที่ลงเล่นไป 53 นัด นั่นแสดงให้เห็นเขามีพัฒนาการที่ดีเยี่ยมขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น “อาซน” มีส่วนสำคัญในช่วงที่ เคน ไม่อยู่ เพราะเขายิงไป 5 จาก 6 ประตูหลังสุดตอนที่ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ รักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ

2. เคน เดี้ยงอีกแล้ว
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อ แฮร์รี่ เคน ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า โดยเขาต้องเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในอุโมงค์โดยมี 2 สตาฟฟ์โค้ชประจำสโมสรคอยช่วยประคับประคอง ที่สำคัญนักเตะไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าซ้ายได้เลย

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นจากความทุ่มเทของ เคน ที่พยายามจะเข้าไปสกัดจังหวะที่ ฟาเบียน เดลป์ จะเปิดบอลบริเวณริมเส้นข้างสนาม จากอาการบาดเจ็บดังกล่างทำให้ มาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ต้องรีบจัดการเปลี่ยนตัว ลูคัส มูร่า ลงมาแทน

สำหรับอาการเดี้ยงของ เคน ซึ่งเหมือนกับอาการเจ็บที่เขาเคยได้รับในเกมลีกแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ และครั้งนั้นทำให้เขาต้องพักนานกว่า 1 เดือน ทำให้ สเปอร์ส ต้องเจอสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากๆ เพราะอาจจะส่งผลต่อความหวังในการผ่านเข้ารอบรองฯ ถ้วยใบโตยุโรป (แม้ชนะ แมนฯ ซิตี้ 1-0 เกมแรก ก็ตาม) รวมไปถึงการลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์ในพรีเมียร์ลีกด้วย

3. วิงค์ส กับ ซิสโซโก้ โดดเด่น
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ นายใหญ่สเปอร์ส จัดวางแท็คติกได้อย่างดีเยี่ยมในครึ่งแรก โดย แฮร์รี่ วิงค์ส กับ มุสซ่า ซิสโซโก้ ทำหน้าที่แดนกลางได้อย่างเหนียวแน่น และสามารถดวลกับแดนกลางที่สุดหินของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างสุดยอดจริงๆ

วิงค์ส กับ ซิสโซโก้ ทำหน้าที่ประคองเกมแดนกลาง ในขณะที่เกมรุกพวกเขาได้ แฮร์รี่ เคน, คริสเตียน อีริคเซ่น, เดเล่ อัลลี่ และ ซน ฮึง-มิน คอยปั่นป่วนเกมรับของ “เรือใบสีฟ้า” และในที่สุดก็ทำสำเร็จในช่วง เกือบ 15 นาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

ทั้งสองมิดฟิลด์เล่นได้อย่างโดดเด่นทำให้แดนกลางแมนฯ ซิตี้ ต้องเจอกับงานยากลำบากในการครองบอล และการผ่านบอลให้กองหน้า ที่สำคัญการเล่นอย่างมีระเบียบวินัย และมีความนิ่งไม่ตื่นตระหนกเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลให้ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้

4. ขาด ซิลวา เรือใบขาดใจ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถรับมือกับการที่ทีมขาด แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่ไม่สามารถลงสนามได้เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็นต้นขาในช่วงฝึกซ้อมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

สำหรับเกมนี้ สตาร์ชาวโปรตุกีส เดินทางไปร่วมกับเพื่อนร่วมทัพ “เรือใบสีฟ้า” แต่ กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจไม่ส่งเขาลงสนาม ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เสียหายสำหรับทีมเพราะ ซิลวา กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มสุดยอด และน่าจะสามารถช่วยทีมได้มากในแมตช์นี้

แน่นอนว่าแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ ต้องคิดถึงการสร้างสรรค์เกมของ ซิลวา มากๆ เพราะนักเตะที่ส่งลงไปเล่นแทนอย่าง ริยาด มาห์เรซ ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรทีมเลย แถมการต้องพึ่งพา ราฮีม สเตอร์ลิง เพียงคนเดียวทำให้ ปีกทีมชาติอังกฤษ ต้องแบกรับภาระมากเกินไป

ซิลวา เป็นผู้เล่นสำคัญในการขับเคลื่อนเกมรุกของทีม ฉะนั้น เป๊ป คงคาดหวังที่จะเห็นนักเตะคู่ใจหายเจ็บและฟิตสมบูรณ์กลับมาช่วยทีมให้ได้ เพราะไม่ใช่แค่เกมนัด 2 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เกมถ้วย “บิ๊กเอียร์” เท่านั้น ยังรวมถึงแมตช์อื่นๆ ในช่วงที่เหลืออยู่ของซีซั่นนี้ด้วย

5. อูโก้ โยริส จอมหลอน อเกวโร่
แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสได้รางวัลล้ำค่าตั้งแต่นาทีที่ 12 เมื่อ “วีเออาร์” ระบุชัดเจนว่า แดนนี่ โรส ทำแฮนด์บอลในเขตโทษ โดยในจังหวะนั้น เซร์คิโอ อเกวโร่ ขันอาสาที่จะรับหน้าที่สังหารลูกนี้เอง และแน่นอนว่าแฟนบอล “เรือใบสีฟ้า” มั่นอกมั่นใจว่าเขาจะยิงประตูได้แน่ๆ

จังหวะที่ “กุน” ตะบันบอลไปนั่นก็คือว่าไม่ได้เลวร้าย แต่ โยริส โชว์ให้เห็นแล้วว่าเขามีไหวพริบในการป้องกันจุดโทษได้อย่างสุดยอดมากแค่ไหน เมื่อ นายทวารทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 พุ่งไปถูกทาง และปัดบอลได้อย่างสุดยอด

สำหรับตอนนี้ นายด่านเลือดเฟร้นช์ เป็นโกล์ที่ หัวหอกเลือดอาร์เจนไตน์ ต้องหวาดหวั่นหากต้องเผชิญหน้ากับเขาในการยิงจุดโทษ เพราะ โยริส เป็นผ้รักษาประตูเพียงคนเดียวในยุโรปที่เซฟจุดโทษของ อเกวโร่ ได้มากกกว่าผู้รักษาประตูคนอื่นๆ

ยังไม่หมดแค่นั้น โยริส ซึ่งเป็นนายทวาร “ไก่เดือยทอง” เซฟลูกจุดโทษได้ทั้ง 3 ครั้งในปี 2019 โดยเริ่มจากปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้า “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล” และ เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกชาวอังกฤษของ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้