Design a site like this with WordPress.com
เริ่มได้

ไร้ปาฎิหาริย์ที่คัมป์นู! เมสซี่โชว์เบิ้ล บาร์เซโลน่าย้ำชัยอัดแมนยูยับ ลิ่วตัดเชือกชปล.

เมสซี่ ขยี้แนวรับปีศาจแดงเละเทะเมื่อจัดการสองประตูก่อนพา บาร์เซโลน่า เปิดคัมป์นูไล่ถลุงเอาชนะไปได้ 3-0 รวมผลสองนัดผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศด้วยประตูรวม 4-0 โดยจะเข้าไปพบผู้ชนะระหว่าง ปอร์โต้ หรือลิเวอร์พูล ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ8ทีมสุดท้าย นัดสอง เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

สนาม : คัมป์ นู, ประเทศสเปน (ผลการแข่งขันนัดแรก บาร์เซโลน่า ชนะ 1-0)

ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง วันอังคารที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา เจ้าถิ่น บาร์เซโลน่า กลับมาเฝ้ารังเปิดคัมป์ นู รับการมาเยือนของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังนัดแรกที่โอลด์แทร็ฟฟอร์ด “เจ้าบุญทุ่ม” บุกไปคว้าชัยมาก่อน 1-0

เกมนี้ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ยังยึดขุมกำลังชุดเดิมแนวรุกใช้สามประสานตัวเก่งทั้ง ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ และฟิลิปเป้ คูตินโญ่

ส่วนทางฝั่ง “ผีแดง” เกมนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือของแมนฯยูไนเต็ด บินมาให้กำลังใจแข้งปีศาจแดงถึงคัมป์นู โดยเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้รับข่าวดีหลังได้ทั้ง อเล็กซิส ซานเชซ และเนมานย่า มาติช หายเจ็บกลับมาช่วยทีม แต่เกมนี้เป็นแค่สำรองไปก่อนเช่นเดียวกับ โรเมลู ลูกากู โดยสามประสานแนวรุกใช้ เจสซี่ ลินการ์ด, มาร์คัส แรชฟอร์ด และอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ส่วนแนวรับ ลุค ชอว์ ที่ติดโทษแบนวันนี้โยกเอา แอชลี่ย์ ยัง มาประจำการแทน แล้วส่ง ฟิล โจนส์ เล่นแบ็กขวา

เกมเปิดฉากมาได้แค่ 39 วินาที “ปีศาจแดง” เกือบได้ประตูขึ้นนำไปก่อน เมื่อ ปอล ป็อกบา แทงบอลให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปจิ้มด้วยหัวเกือกขวาบอลพุ่งชนคานออกหลังไป

นาที 9 ลินการ์ด ได้บอลตรงกลางสนามก่อนไหลให้ ป็อกบา ลองชิพบอลไกลกว่า 40 หลา แต่บอลลอยโด่งหลุดหลังออกไปแบบไม่ได้ลุ้น

กระทั่ง นาที 11 แฟนผีแดงเงียบกันกริบหลัง เฟลิกซ์ บรีช ผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษแก่เจ้าถิ่นหลัง อีวาน ราคิติช โดนเฟร็ดเข้ามาฟาวล์ด้านหลังในเขตโทษ ก่อนเชิ้ตดำจะขอดู VAR ข้างสนามก่อนวิ่งมาแล้วเปลี่ยนคำตัดสินไม่ให้จุดโทษแก่บาร์ซ่า หลังภาพช้าเห็นได้ชัดว่า เฟร็ด เข้าไปถึงบอลก่อนราคิติชจะล้มตัวลง

แต่แล้วอีก 5 นาทีต่อมา บาร์เซโลน่า ก็ชิงขึ้นนำ 1-0 จนได้ จากจังหวะเคลียร์บอลไม่ขาดของ แอชลี่ย์ ยัง ที่สกัดบอลไปติดแข้งเจ้าถิ่นก่อนบอลจะกระดอนมาเข้าทาง เมสซี่ ยกหลบ แอชลี่ย์ ยัง ก่อนหลบ เฟร็ด ลากตัดเข้ากลางแล้วซัดด้วยซ้ายหน้าหัวกระโหลกกว่า 20 หลา บอลพุ่งหนีมือ เด เคอา เสียบมุมตาข่ายอย่างสวยงาม

จากไม่กี่อึดใจ นาที 20 เจ้าถิ่นฉีกนำห่างเป็น 2-0 เมสซี่ ฉกบอลได้ก่อนถึง เฟร็ด ก่อนลากผ่าน ฟิล โจนส์ เข้าไปยิงด้วยเท้าขวาข้างไม่ถนัด บอลพุ่งไม่หนีมือ เค เคอา แต่นายทวารมือหนึ่งทีมชาติสเปนดันรับบอลพลาดปลิ้นทะลักเข้าประตูไป เป็นประตูที่สองในเกมนี้มีลุ้นแฮตทริก และเป็นประตูที่ 10 นำดาวซัลโวของแชมเปี้ยนส์ลีก

เกมผ่านไป 30 นาที ด้วยสกอร์ที่นำห่าง 2-0 ทำให้เจ้าถิ่นเล่นได้ง่ายขึ้น ครองบอลได้มากกว่า ตรงกันข้ามแข้งผีแดงความมั่นใจกลับลดน้อยลงไป ปั้นเกมแทบไม่ถึงหน้าปากประตูเหมือนช่วง 10 นาทีแรก

นาที 38 แมนยู ได้ตอบโต้บาง คราวนี้ ลินการ์ด ให้บอล ปอล ป็อกบา ก่อนห้องเครื่องดีกรีแชมป์โลกจะซัดนอกกรอบแต่บอลพุ่งไปเข้ามือ มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น รับไว้ได้ไม่มีปัญหา

นาที 42 “ปีศาจแดง” มาได้ฟรีคิกระยะกว่า 30 หลา มาร์คัส แรชฟอร์ด สาวเท้าวิ่งมายิงเต็มแรงแต่บอลพุ่งไม่ผ่านกำแพง

ช่วงทดเจ็บก่อนหมดครึ่งแรก เจ้าถิ่นเกือบได้ประตูที่สาม หลัง เมสซี่ พาบอลโยกหลอก ฟิล โจนส์ แล้วจ่ายเร็วให้ จอร์ดี้ อัลบา ปาดบอลไปเสาสองถึง แซร์จี้ โรแบร์โต้ แบ็กขวาที่เติมมาสไลด์ตัวยิงบอลจะข้ามเส้นอยู่แล้วแต่ เด เคอา ยังตามเซฟบนเส้นปัดออกมาได้

จบครึ่งแรก บาร์เซโลน่า ขึ้นนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 สกอร์รวมสองนัดตอนนี้ “เจ้าบุญทุ่ม” นำห่าง 3-0

ครึ่งหลัง กลับมาเล่นได้แค่สองนาที นาที 47 เมสซี่ เกือบพังแฮตทริกในเกมนีได้สำเร็จ หลังวิ่งมาอัดด้วยซ้ายจากลูกเปิดของ ซัวเรซ บอลไปแฉลบขาแอชลี่ย์ ยัง ออกหลังแบบได้ลุ้น

จนแล้วจนรอด นาที 61 บาร์เซโลน่า มาได้ประตูนำห่าง 3-0 บอลจาก เมสซี่ ที่เก็บบอลกลางสนามแล้วขวางยาวมาให้ จอร์ดี้ อัลบา แตะบอลจังหวะเดียวให้ คูตินโญ่ ก่อนจะตะบันนอกกรอบปั่นบอลโค้งหนีมือ เด เคอา เสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างสวยงาม ทำให้ประตูรวมตอนนี้ บาร์ซ่า หนีห่างเป็น 4-0

อีก 4 นาทีถัดมา สกอร์เกือบเปลี่ยนอีกครั้ง จากจังหวะที่แนวรับ แมนฯ ยูไนเต็ด สกัดบอลไม่ขาดในเขตโทษตัวเอง เมสซี่ ตีลังกายิงหลุดกรอบออกไป

นาที 65 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เปลี่ยนตัวคนแรก ถอดเอา อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล แล้วส่ง ดีโอโก้ ดาโลต์ ลงไปเล่นแทน

นาที 71 เป็นทางฝั่งเจ้าถิ่นที่เปลี่ยนตัวบ้างเอา เนลสัน ซาเมโด้ ลงเล่นแทนแซร์จี้ โรแบร์โต้ ถัดมาอีกสองนาที “ปีศาจแดง” เอามาร์คัส แรชฟอร์ด ออกแล้วส่ง โรเมลู ลูกากู ลงเล่นแทน

อาคันตุกะแทบจะบุกไปขึ้น เจาะแนวรับบาร์เซโลน่าไม่ได้เลย นาที 78 เจสซี่ ลินการ์ด ได้ลองยิงไกลกว่า 30 หลา แต่ยังไม่ดีพอบอลพุ่งเหินคานไปแบบหมดลุ้น

นาทีสุดท้าย แมนฯยูฯ เกือบได้ลูกตีไข่แตก ดีโอโก้ ดาโลต์ ครอสบอลมาให้ อเล็กซิส ซานเชซ โขกเต็มหัวแต่บอลยังไม่ผ่าน มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น ปัดออกหลังไปได้

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม บาร์เซโลน่า เปิดบ้านไล่ต้อนเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้อย่างขาดลอย 3-0 รวมผลสองนัดผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ ด้วยประตูรวม 4-0 โดยจะเข้าไปพบผู้ชนะระหว่าง ปอร์โต้ หรือ ลิเวอร์พูล

รายชื่อนักเตะที่ลงสนาม

บาร์เซโลน่า (4-3-3) : มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น – แชร์จี้ โรแบร์โต้ (เนลสัน ซาเมโด้ น.71), เคราร์ด ปีเก้, เกลมงต์ ล็องก์เล่ต์, จอร์ดี้ อัลบา – อิวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อาร์เธอร์ (อาร์ตูโร่ วิดาล น.75) – ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (อูสมาน เดมเบเล่ น.81)

เทรนเนอร์ : เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้

แมนฯ ยูไนเต็ด (4-3-3) : ดาบิด เด เคอา – ฟิล โจนส์, คริส สมอลลิ่ง, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แอชลี่ย์ ยัง – สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, ปอล ป็อกบา – เจสซี่ ลินการ์ด (อเล็กซิส ซานเชซ น.80), มาร์คัส แรชฟอร์ด (โรเมลู ลูกากู น.73), อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล (ดีโอโก้ ดาโลต์ น.65)

เฮแบบหืดจับ! ตัดเกรดแข้ง บาร์เซโลน่า เกมบุกเชือดแมนยู

บาร์เซโลน่า ก็ได้ชัยชนะตามที่ต้องการ หลังบุกไปพิชิต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันพุธที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ถือความได้เปรียบก่อนกลับไปเตะเลกสองที่ คัมป์ นู กลางสัปดาห์หน้า โดยที่โดดเด่นสุดในเกมนี้ของ บาร์ซ่า คือแนวรับ ซึ่งเล่นได้แข็งแกร่งมากๆ โดยเฉพาะ เคราร์ด ปีเก้ เด็กเก่า “ปีศาจแดง” และนี่คือผลสอบของแข้ง บาร์ซ่า แต่ละคนในเกมนี้
11 ผู้เล่นตัวจริง

– มาร์ค-อังเดร แทร์ ชเตเก้น : 6

แทบไม่ได้ทำอะไรเลยในเกมนี้ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถิติยิงตรงกรอบ 0

– เนลสัน เซเมโด้ : 7.5

เล่นได้เด่นทีเดียว เติมเกมรุกได้น่ากลัว และมีจังหวะที่จ่ายบอลให้ ซัวเรซ หลุดเข้าไปเกือบทำประตูได้

– เคราร์ด ปีเก้ : 8

กลับมา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยฟอร์มที่แข็งแกร่งสุดๆ คุมเกมรับได้เยี่ยม และตัดบอลได้สวยๆ หลายครั้ง โดยเฉพาะการสกัดช่วงท้ายเกม

– เกลม็องต์ ล็องเล่ต์ : 6

ยืนตำแหน่งได้ดี แต่จ่ายบอลเสียหลายครั้ง ซึ่งโชคดีที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่คมพอในการจบสกอร์

– จอร์ดี้ อัลบา : 7

เล่นเกมรับได้ดี และมีเติมเกมรุกให้เห็นเมื่อมีโอกาส

– อีวาน ราคิติช : 7

อาจจะไม่โดดเด่น แต่ทำได้ดีในการครองบอล และใช้กำลังสู้กับแดนกลางของ “ปีศาจแดง” ได้เยี่ยม

– เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ : 7

แม้เจอใบเหลืองตั้งแต่ต้นเกม แถมหวิดโดนไล่ออกตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรก แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีเลย แถมการหยอดบอลเข้าในเขตโทษของเขายังนำไปสู่ประตูชัยด้วย

– อาร์ตูร์ : 6

เล่นได้ไม่ค่อยดีนัก ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงกลางครึ่งหลัง

– ลิโอเนล เมสซี่ : 6.5

แม้ไร้สกอร์ และเล่นไม่ถนัด แต่ก็ป่วนแนวรับคู่แข่งได้เป็นระยะในการครองบอล และถือว่ามีส่วนในจังหวะได้ประตูชัย

– ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ : 5.5

มีโอกาสยิงไปติดเซฟ เด เคอา แต่ฟอร์มโดยรวมถือว่าน่าผิดหวัง

– หลุยส์ ซัวเรซ : 7

ขยันขันแข็ง วิ่งไม่มีหยุด และเป็นเพราะเขาที่ทำให้ทีมได้ประตูชัย จากการโหม่งบอลไปโดนตัว ลุค ชอว์ เข้าประตู

สำรองที่ได้ลงเล่น

– อาร์ตูโร่ วิดาล (แทน คูตินโญ่ น. 66) : 6.5

แม้ลงไปทำฟาวล์หลายครั้ง แถมโดนใบเหลืองภายในไม่กี่นาที แต่ก็ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าตัวอยู่แล้วที่จะลงไปช่วยเพิ่มความดุดันในแดนกลาง

– เซร์กี้ โรเบร์โต้ (แทน อาร์ตูร์ น. 66) : 6.5

ลงไปช่วยเติมความสดในแดนกลางตามแท็กติก

– การ์เลส อาเลนญ่า (แทน บุสเก็ตส์ 90+3) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้

ไก่จิกเรือจม : ชำแหละ 5 ข้อ สเปอร์ส ฟอร์มแจ่มดับซ่า แมนซิตี้

สเปอร์ส ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อหักปากกาเซียนเฆี่ยน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 1-0 ที่สนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา
แมตช์นี้ “ไก่เดือยทอง” มาดีเล่นอย่างรัดกุม โดยเฉพาะกองกลางที่ทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยมทั้ง แฮร์รี่ วิงค์ส กับ มุสซ่า ซิสโซโก้ จัดการแผงมิดฟิลด์ของ แมนฯ ซิตี้ อยู่หมัด ขณะเดียวกัน ซน ฮึง-มิน หัวหอกตัวเก่ง โชว์ทักษะสุดยอดตะบันประตูโทนให้กับต้นสังกัด โดยงานนี้หลายคนยกให้ ดาวยิงกิมจิ ถูกโฉลกกับสนามเหย้าใหม่เพราะซัดไปแล้ว 2 ประตูที่นี่

อย่างไรก็ตาม สเปอร์ส ต้องมีเรื่องน่ากังวลใจอย่างมาก เพราะ แฮร์รี่ เคน หัวหอกตัวความหวัง ดันเกิดได้รับบาดเจ็บที่บริเวณข้อเท้า และตอนนี้ต้องลุ้นว่าอาการจะหนักมากแค่ไหน แน่นอนว่าเรื่องนี้คงทำให้แฟนบอล “ไก่เดือยทอง” วิตกสุดๆ เพราะในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น มีเกมสำคัญหลายแมตช์ที่อาจชี้อนาคตของทีมเลยทีเดียว

1) กิมจิพิฆาต
ซน ฮึง-มิน กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้ ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับการเล่นในสนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม เมื่อเขายิงประตูสำคัญในแมตช์ที่รับมือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้โอกาสได้เข้ารอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ค่อนข้างสดใส

สำหรับจังหวะสำคัญดังกล่าวอาจดูเหมือนว่า “อาซน” แทบจะหมดโอกาสยิงประตูเพราะในจังหวะแรกเขาจับบอลไม่ค่อยดีนัก และล้นจนเกือบจะออกเส้นหลังประตู แต่ด้วยความขยันผสมกับความรวดเร็วทำให้เจ้าตัววิ่งไปจับบอลได้บนเส้นหลังประตูพอดิบพอดี

จากนั้นก็โชว์สเต็ปด้วยการโยกหลอก ฟาเบียน เดลป์ และวิ่งตัดเข้ากลางก่อนตะบันเต็มข้อบอลผ่านตัว เอแดร์ซอน เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม โดยประตูดังกล่าวเป็นประตูทองที่ทำให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ถือความได้เปรียบในการเล่นเกมแรก รอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก

ตอนนี้ หัวหอกพลังกิมจิ กดไปแล้ว 18 ประตู จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 40 นัดในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับฤดูกาลก่อนที่ลงเล่นไป 53 นัด นั่นแสดงให้เห็นเขามีพัฒนาการที่ดีเยี่ยมขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น “อาซน” มีส่วนสำคัญในช่วงที่ เคน ไม่อยู่ เพราะเขายิงไป 5 จาก 6 ประตูหลังสุดตอนที่ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ รักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ

2. เคน เดี้ยงอีกแล้ว
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อ แฮร์รี่ เคน ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า โดยเขาต้องเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในอุโมงค์โดยมี 2 สตาฟฟ์โค้ชประจำสโมสรคอยช่วยประคับประคอง ที่สำคัญนักเตะไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าซ้ายได้เลย

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นจากความทุ่มเทของ เคน ที่พยายามจะเข้าไปสกัดจังหวะที่ ฟาเบียน เดลป์ จะเปิดบอลบริเวณริมเส้นข้างสนาม จากอาการบาดเจ็บดังกล่างทำให้ มาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ต้องรีบจัดการเปลี่ยนตัว ลูคัส มูร่า ลงมาแทน

สำหรับอาการเดี้ยงของ เคน ซึ่งเหมือนกับอาการเจ็บที่เขาเคยได้รับในเกมลีกแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ และครั้งนั้นทำให้เขาต้องพักนานกว่า 1 เดือน ทำให้ สเปอร์ส ต้องเจอสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากๆ เพราะอาจจะส่งผลต่อความหวังในการผ่านเข้ารอบรองฯ ถ้วยใบโตยุโรป (แม้ชนะ แมนฯ ซิตี้ 1-0 เกมแรก ก็ตาม) รวมไปถึงการลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์ในพรีเมียร์ลีกด้วย

3. วิงค์ส กับ ซิสโซโก้ โดดเด่น
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ นายใหญ่สเปอร์ส จัดวางแท็คติกได้อย่างดีเยี่ยมในครึ่งแรก โดย แฮร์รี่ วิงค์ส กับ มุสซ่า ซิสโซโก้ ทำหน้าที่แดนกลางได้อย่างเหนียวแน่น และสามารถดวลกับแดนกลางที่สุดหินของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างสุดยอดจริงๆ

วิงค์ส กับ ซิสโซโก้ ทำหน้าที่ประคองเกมแดนกลาง ในขณะที่เกมรุกพวกเขาได้ แฮร์รี่ เคน, คริสเตียน อีริคเซ่น, เดเล่ อัลลี่ และ ซน ฮึง-มิน คอยปั่นป่วนเกมรับของ “เรือใบสีฟ้า” และในที่สุดก็ทำสำเร็จในช่วง เกือบ 15 นาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

ทั้งสองมิดฟิลด์เล่นได้อย่างโดดเด่นทำให้แดนกลางแมนฯ ซิตี้ ต้องเจอกับงานยากลำบากในการครองบอล และการผ่านบอลให้กองหน้า ที่สำคัญการเล่นอย่างมีระเบียบวินัย และมีความนิ่งไม่ตื่นตระหนกเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลให้ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้

4. ขาด ซิลวา เรือใบขาดใจ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถรับมือกับการที่ทีมขาด แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่ไม่สามารถลงสนามได้เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็นต้นขาในช่วงฝึกซ้อมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

สำหรับเกมนี้ สตาร์ชาวโปรตุกีส เดินทางไปร่วมกับเพื่อนร่วมทัพ “เรือใบสีฟ้า” แต่ กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจไม่ส่งเขาลงสนาม ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เสียหายสำหรับทีมเพราะ ซิลวา กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มสุดยอด และน่าจะสามารถช่วยทีมได้มากในแมตช์นี้

แน่นอนว่าแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ ต้องคิดถึงการสร้างสรรค์เกมของ ซิลวา มากๆ เพราะนักเตะที่ส่งลงไปเล่นแทนอย่าง ริยาด มาห์เรซ ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรทีมเลย แถมการต้องพึ่งพา ราฮีม สเตอร์ลิง เพียงคนเดียวทำให้ ปีกทีมชาติอังกฤษ ต้องแบกรับภาระมากเกินไป

ซิลวา เป็นผู้เล่นสำคัญในการขับเคลื่อนเกมรุกของทีม ฉะนั้น เป๊ป คงคาดหวังที่จะเห็นนักเตะคู่ใจหายเจ็บและฟิตสมบูรณ์กลับมาช่วยทีมให้ได้ เพราะไม่ใช่แค่เกมนัด 2 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เกมถ้วย “บิ๊กเอียร์” เท่านั้น ยังรวมถึงแมตช์อื่นๆ ในช่วงที่เหลืออยู่ของซีซั่นนี้ด้วย

5. อูโก้ โยริส จอมหลอน อเกวโร่
แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสได้รางวัลล้ำค่าตั้งแต่นาทีที่ 12 เมื่อ “วีเออาร์” ระบุชัดเจนว่า แดนนี่ โรส ทำแฮนด์บอลในเขตโทษ โดยในจังหวะนั้น เซร์คิโอ อเกวโร่ ขันอาสาที่จะรับหน้าที่สังหารลูกนี้เอง และแน่นอนว่าแฟนบอล “เรือใบสีฟ้า” มั่นอกมั่นใจว่าเขาจะยิงประตูได้แน่ๆ

จังหวะที่ “กุน” ตะบันบอลไปนั่นก็คือว่าไม่ได้เลวร้าย แต่ โยริส โชว์ให้เห็นแล้วว่าเขามีไหวพริบในการป้องกันจุดโทษได้อย่างสุดยอดมากแค่ไหน เมื่อ นายทวารทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 พุ่งไปถูกทาง และปัดบอลได้อย่างสุดยอด

สำหรับตอนนี้ นายด่านเลือดเฟร้นช์ เป็นโกล์ที่ หัวหอกเลือดอาร์เจนไตน์ ต้องหวาดหวั่นหากต้องเผชิญหน้ากับเขาในการยิงจุดโทษ เพราะ โยริส เป็นผ้รักษาประตูเพียงคนเดียวในยุโรปที่เซฟจุดโทษของ อเกวโร่ ได้มากกกว่าผู้รักษาประตูคนอื่นๆ

ยังไม่หมดแค่นั้น โยริส ซึ่งเป็นนายทวาร “ไก่เดือยทอง” เซฟลูกจุดโทษได้ทั้ง 3 ครั้งในปี 2019 โดยเริ่มจากปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้า “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล” และ เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกชาวอังกฤษของ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้