Design a site like this with WordPress.com
เริ่มได้

ชนะเพียงแค่นั้น เรือใบสีฟ้า บีบคั้นหนัก จำต้องบุกคว้า 3 แต้มในเล้าไก่

จะยอมแพ้หรือยังสำหรับ เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากถูก ลิเวอร์พูล ทิ้งห่างไป 19 แต้ม ส่งผลให้ศึกพรีเมียร์ลีก วันอาทิตย์นี้ ต้องบุกชนะสเปอร์สเท่านั้น…

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานวันที่ 30 ม.ค. ว่า เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า อยู่ในสภาพหลังพิงฝาแล้วหากหวังจะป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ โดยเกมนัดที่ 25 ซึ่งจะบุกไปเยือน ไก่เดือยทอง ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ต้องชนะสถานเดียวเท่านั้น

ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 นัดที่ 25 วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” แชมป์เก่า และทีมรองจ่าฝูง ที่มี 51 แต้ม จาก 24 นัด จะบุกไปเยือนสนามทอตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม ของ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 6 ที่มี 34 แต้ม โดยในตอนนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา โดน หงส์แดง ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง ทิ้งห่างถึง 19 แต้ม เข้าไปแล้ว และทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ จะแข่งวันเสาร์ ถ้าชนะจะนำห่างเป็น 22 แต้มเลยทีเดียว

ดังนี้ แม้ หงส์แดง ชนะในเกมวันเสาร์ แล้ว “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” แพ้ในเกมวันอาทิตย์ อาจจะส่งผลให้พรรคพวกลิเวอร์พูล ครอบครองแชมป์พรีเมียร์ลีก ข้างในมี.ค. ที่จะถึงนี้

ดีลสุดช็อก สื่อดังเปิดโปง แมนฯยู พร้อมดึงหอก มาดริด เสริมคม

โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดกลุ่มดินแดนผู้ดี กลายเป็นข่าวสาร พร้อมกระชากตัวหัวหอกของ เรอัล มาดริด มาร่วมทีมเพื่อเสริมคมในดินแดนหน้าถ้าเกิดชวดลำแข้งเป้าหมายหลัก

สำนักข่าวต่างชาติรายงานวันที่ 17 เดือนธันวาคม ว่า โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กุนซือ ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลุ่มดังที่ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กลายเป็นข่าวสาร พร้อมลากตัว ลูกา โยวิช หัวหอกของ ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ของลาลีกา ประเทศสเปน มาร่วมทีม เพื่อเสริมคมในดินแดนหน้าแม้ชวดหน้าแข้งเป้าหมายหลัก

เป็นที่รู้เรื่องกันว่า ยอดกลุ่มสีแดงที่เมืองแมนเชสเตอร์ มีข่าวสารกับ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ หัวหอกอนาคตไกลของ เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก อย่างมากจำพวกที่มีภาพ โอเล กุนทุ่งนาร์ โซลชาร์ เดินทางไปเจอกับนักฟุตบอลเป็นการส่วนตัว

ถ้าว่าเนื่องจากว่าลำแข้งรายนี้ยังกลายเป็นจุดหมายของกลุ่มชั้นหนึ่งกลุ่มอื่นในยุโรป โดย express สื่อโด่งดังได้เปิดเผยว่า กลุ่มแชมป์ลีกผู้ดี 20 ยุคได้วางตัว ลูกา โยวิช ดาวยิง “พระราชาชุดขาว” เรอัล มาดริด ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวังรวมทั้งมีบางกระแสข่าวว่าชมรมสังกัดเดิมบางทีอาจพิเคราะห์ปลดปล่อยเขาออกมาจากกลุ่มด้วยข้อตกลงยืมตัวไว้เป็นตัวเลือกถ้าสุดท้ายแล้วพวกเขาจำเป็นต้องชวดลำแข้งเป้าหมายหลักอย่าง เอ้อร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ นั่นเอง

คืนจ่าฝูง! ชำแหละ 5 ข้อเด็ด ลิเวอร์พูล โชว์ของทุบ คาร์ดิฟฟ์

คืนจ่าฝูง พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง หลังจากพวกเขาบุกไปชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 2-0 ที่สนามคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยงานนี้ทำให้การลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในฤดูกาลนี้เต็มไปด้วยความเข้มข้น และลุ้นกันแบบนัดต่อนัดเลยทีเดียว

แม้ว่า “หงส์แด” จะเจอกับความยากลำบากในการเจาะเข้าทำประตูในครึ่งแรก แต่สุดท้ายพวกเขาสามารถปลดล็อกได้จากจังหวะที่ เทรนต์ -อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เปิดบอลให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดงามให้ทีมในช่วงเกมผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง

จากนั้นทีมมาคลายความกดดันมายิ่งขึ้นจากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ที่ขันอาสาสังหารไม่เหลือซาก โดยตอนนี้สาวก “เดอะ ค็อป” คงต้องลุ้นกันยิ่งกว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะ “ผีแดง” มีคิวรับมือ แมนฯ ซิตี้ และนี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่แฟนบอล “หงส์แดง” จะถอดใจเชียร์ “เร้ด เดวิลส์”

1. อลีสซง ทำผลงานยอดเยี่ยม
ลิเวอร์พูล มีโอกาสมากมายในช่วง 45 นาทีแรกจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ นีล เอเธอริดจ์ นายทวาร คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เข้าไปซุกก้นตาข่ายได้เลย ทำให้ทีมต้องเจอกับแรงกดดันในช่วงครึ่งหลัง

ฟอร์มของ “หงส์แดง” ในเกมนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าพวกเขาเหนือกว่าเจ้าบ้านพร้อมกับสถิติครองบอลได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในครึ่งแรก แต่ก็มีบางจังหวะที่พลาดให้ คาร์ดิฟฟ์ ได้สร้างความหวาดเสียวเหมือนกัน และโชคดีที่ทีมมี อลีสซง เฝ้าเสา ไม่งั้นอาจมีสิทธิ์น้ำตาตกก็ได้

จังหวะที่โดดเด่นเป็นสง่าของ คาร์ดิฟฟ์ คงเป็นในนาทีที่ 44 จากจังหวะที่ อูมาร์ แนสส์ พลิกตัวเร็วตวัดยิง แต่ อลีสซง ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นพอดีทำให้เจ้าตัวสามารถกระโดดปัดบอลข้ามคานออกไป ซึ่งถือเป็นจังหวะสำคัญมากๆ ที่ช่วยให้ “หงส์แดง” ไม่เสียประตูก่อนพักครึ่ง

ผลงานยอดเยี่ยมที่รักษาคลีนชีตใหนแมตช์นี้ทำให้ นายด่านชาวบราซิเลียน เก็บไปแล้ว 19 คลีนชีตในเกมลีกฤดูกาลนี้ และแน่นอนว่าเขามีลุ้นที่จะคว้ารางวัลถุงมือทองคำ เนื่องจากมีสถิติไม่เสียประตูเหนือกว่า เอแดร์สัน โกล์เพื่อนร่วมชาติจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้

2. แอสซิสต์สำคัญจากเจ้าหนูอาร์โนลด์
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ฟูลแบ็กดาวรุ่งพุ่งแรง เก็บแอสซิสต์ให้กับตัวเองได้อีกครั้ง หลังจากเปิดเตะมุมให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดสวยผ่านมา นีล เอเธอริดจ์ โกล์เจ้าบ้าน ช่วยปลดล็อกให้ “เดอะ เร้ดส์” ในช่วงต้นครึ่งหลัง

จังหวะแอสซิสต์ของสตาร์ลูกหนังเสื้อเบอร์ 66 ส่งผลให้ช่องว่างในการแข่งทำแอสซิสต์กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันในฤดูกาล 2018-19 สูสีมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” ที่เห็นการแข่งขันดังกล่าวสร้างประโยชน์ให้กับทีมอย่างมาก

ตอนนี้ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 10 ครั้ง ขณะที่ กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 11 ครั้ง โดยอีก 3 เกมที่เหลืออยู่แฟนบอลลิเวอร์พูลคงหวังว่าทั้งสองคนยังผลิตผลงานดีมีคุณภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันไม่ว่าจบซีซั่นนี้ “หงส์แดง” จะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ แต่ คล็อปป์ คงแฮปปี้กับผู้เล่นฟูลแบ็กทั้งสองคนมากๆ

3. ไวจ์นัลดุม ประตูปลดล็อก
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะครองเกมได้เหนือกว่าแต่ดูเหมือนว่านักเตะมีอาการประหม่าสุดๆ ไม่ใช่แค่ผู้เล่นในสนามเท่านั้น เพราะที่ซุ้มม้านั่งสำรอง และบนอัฒจันทร์ต่างก็รู้สึกหวาดหวั่น เนื่องจากทีมยังไม่สามารถยิงประตูขึ้นนำได้ทั้งๆ ที่เกมผ่านมาเกือบ 1 ชั่วโมง

จนกระทั่ง จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม สวมบทผู้ปลดแอกเมื่อเขาวอลเลย์ลูกบอลสุดงามจากการเตะมุมของเจ้าหนูเทรนต์ ถือเป็นการปลดล็อคความเครียด และความประหม่าของลิเวอร์พูลได้ทันที และแน่นอนว่านั่นคงจุดที่ทำให้ทีมมีความมั่นใจมากขึ้น และเดินเครื่องที่จะทำประตูเพิ่ม

หลังจากที่ ดาวเตะเลือดดัตช์ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย แน่นอนว่าทำให้นักเตะและกองเชียร์ผู้มาเยือนระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นมานานได้ซะที แม้ว่านี่จะเป็นเพียงประตูที่สามในฤดูกาลนี้ของไวจ์นัลดุม แต่เป็นประตูที่มีความสำคัญมากๆ ต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

4. 3 ประสานใช้จังหวะเปลื้อง
สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหวาดวิตกสำหรับนักเตะ, โค้ช และผู้เล่นสำรอง ในช่วงครึ่งหลังมาจากการที่ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสหลายต่อหลายครั้งที่จะทำประตูในช่วงครึ่งแรก และนั่นทำให้พวกเขาต้องเจอความกดดันอย่างหนักในการเล่นครึ่งหลัง

จังหวะที่งามหยดที่ “หงส์แดง” ควรจะได้ประตูนำเกิดขึ้นในนาที่ 23 เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ จ่ายบอลตามช่องแบบถวายใส่พานทองคำ ให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษ แต่ยิงบอลผ่านตัว นีล เอเธอริดจ์ หลุดกรอบออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ

ขณะที่ มาเน่ ก็มีโอกาสเช่นกัน เมื่อ ดาวเตะเซเนกัล ได้บอลหน้าเขตโทษฝั่งขวาจากนั้นก็สับไกด้วยขวา แต่บอลหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย ส่วน ซาลาห์ โชว์ลีลาพลิกบอลหนี บรูโน่ เอกูเอเล่ ม็องก้า หลุดเข้าไปดีดด้วยซ้ายในเขตโทษ แต่โดน เอเธอริดจ์ ออกมาบีบมุมเซฟเอาไว้ได้

ในช่วงเวลาคับขันและความตึงเครียดถาโถม แต่พวกเขาได้ฮีโร่อย่าง ไวจ์นัลดุม ที่ยิงประตูปลดล็อกในช่วงเกมผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง หากไม่ได้ประตูของแข้งดัตช์มีหวังสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ยิงกดดันจนถึงขั้นลนลานเลยก็ได้

5. ทุกสายตา “เดอะ ค็อป” จับจ้องเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอล์ด
แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกุมชะตากรรมในการลุ้นแชมป์เอาไว้ในมือเนื่องจากพวกเขาแข่งน้อยกว่า 1 แมตช์ แต่เกมนี้ “เรือใบสีฟ้า” เจอคู่แข่งสำคัญมากๆ นั่นก็คือการทำศึกดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด วันพุธที่ 24 เม.ย.นี้

สำหรับผลการแข่งขันบุกทุบ คาร์ดิฟฟ์ จะทำให้ “เดอะ เร้ดส์” ทวงบัลลังก์จ่าฝูงคืนมาก็ตาม เมื่อพวกเขามีแต้มนำห่าง “เรือใบสีฟ้า” 2 คะแนน แต่ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นจ่าฝูงได้อีกครั้งหากเอาชนะเกมที่ต้องพบ “ปีศาจแดง” ให้ได้

ในเกมล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ยับไม่นับญาติต่อ เอฟเวอร์ตัน 0-4 โดยหลังจบเกมนี้ โซลชา ประกาศก้องขอเรียกศรัทธาคืนจากสาวก “เร้ด อาร์มี่” ด้วยการนำลูกทีมไล่อัด แมนฯ ซิตี้ ให้ได้ เพราะหากทีมชนะพวกเขาก็ยังมีลุ้นซิวตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า

เชื่อหรือไม่ในเกมดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ บรรดาสาวก “เดอะ ค็อป” คงพร้อมใจเชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบสุดใจขาดดิ้นชัวร์

ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก เรือใบสีฟ้า ไม่พลาดทวงฝูงคืน ล้างแค้นไก่ก่อนเยือนผี เช็ก4นัดลุ้นแชมป์ “เรือ-หงส์”

เรือใบสีฟ้า หลังดับแค้นบดเอาชนะ สเปอร์ส ไปแบบหวุดหวิด
นี่เป็น 3 ใน 4 เกมล่าสุดของลูกทีม “เป๊ป” ที่ต้องดวลแข้งกับ “ไก่เดือยทอง” หลังล่าสุดผลลัพธ์มันช่างแสนเจ็บปวดเมื่อ2เกมที่ผ่านมาในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้นต้องตกรอบด้วยน้ำมือของ สเปอร์ส แม้เกมที่สองพวกเขาจะเบียดเอาชนะแต่ต้องร่วงด้วยกฎประตูทีมเยือน ชวดโอกาสผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ

ทำให้ แมนฯซิตี้ เหลือลุ้นคว้า 3 แชมป์ในปีนี้เท่านั้น ซึ่งโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน ได้แชมป์ลีก คัพไปแล้วหนึ่ง เข้าชิงเอฟเอ คัพ กับวัตฟอร์ดหลังปิดลีก และตอนนี้ต้องพุ่งสมาธิมาเน้นกับการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้เท่านั้น

เกมนัดที่ 34 กลับมาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม อีกหนพบกับคู่ปรับ สเปอร์ส อีกครั้ง….เกมนี้ทั้งสองทีมต่างโรเตชั่นแข้งนักเตะกันบ้าง แต่ไม่ทำให้ดีกรีความมันลดน้อยลงเท่าไหร่ สุดท้าย “เรือใบ” ล้างแค้นสำเร็จ

แม้จะหวุดหวิดแค่ 1-0 จากลูกโขกของไอ้หนู ฟิล โฟลเด้น แต่นั้นก็ทำให้ทีมสร้างสถิติซิวชัยชนะในลีกเป็นเกมที่ 10 ติดต่อกัน ทว่าทีมต้องแลกมาด้วยอาการเจ็บของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่จะพลาดเกมไปเยือนโอลด์แทร็ฟฟอร์ดกลางสัปดาห์นี้แน่นอน

กับสามแต้มสำคัญทำให้ “ซิตี้” ทะยานแซง “หงส์แดง” ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงอีกหน มี 86 คะแนน มากกว่า ลิเวอร์พูล ที่มี 85 คะแนน อยู่หนึ่งแต้ม พร้อมลูกได้เสียที่มากกว่า “เร้ด แมชีน” ถึง 8 ลูก

กลายเป็นแมนซิตี้ ที่กุมชะตาแชมป์ของตัวเอง เพราะถ้าคว้าชัยอีก 4 เกมที่เหลือได้ก็จะป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จ โดยไม่ต้องไปดูผลของ “หงส์แดง” เลย

คราวนี้เรามาดูโปรแกรม 4 นัดสุดท้ายของทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล

แมนฯซิตี้ (34 นัด 86 คะแนน)

24 เม.ย. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เยือน)
28 เม.ย. เบิร์นลี่ย์ (เยือน)
04 พ.ค. เลสเตอร์ (เหย้า)
12 พ.ค. ไบรท์ตัน (เยือน)

ลิเวอร์พูล (34 นัด 85 คะแนน)

21 เม.ย. คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ (เยือน)
27 เม.ย. ฮัดเดอร์ฟิลด์ (เหย้า)
05 พ.ค. นิวคาสเซิ่ล (เยือน)
12 พ.ค. วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า)

ส่วนสถานการณ์ท้ายตารางหลังทั้ง ฮัดเดอร์สฟิลด์ และฟูแล่ม ร่วงตกชั้นไปสองทีมแรกแล้ว เหลืออีก 1 ทีม ต้องลุ้นกันอีกต่อไปว่าจะเป็นทีมไหนจะหล่นไปเล่นใน ลีก แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลหน้า

บอร์นมัธ เกมล่าสุดพ่ายให้ ฟูแล่ม แบบน่าเจ็บใจคาบ้านตัวเอง ทั้งที่เกมนี้หากซิวสามแต้มได้ก็จะเพิ่มโอกาสรอดตายสูง

ทางด้าน ไบรท์ตัน ทีมอันดับ 17 ได้มาอีกหนึ่งคะแนนจากเกมบุกไปเยือน วูฟ์สฯ 0-0 ทำให้ต้องลุ้นอีก 4 แมตช์ที่เหลือเช่นกัน

เช่นเดียวกับ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน อันดับ16 ล่าสุดบุกไปพ่าย นิวคาสเซิ่ล ทำให้ต้องดิ้นหนีตายสุดชีวิต ยิ่งเสาร์หน้าตัดแต้มกับ ไบรท์ตัน กันเองด้วยล่ะมันส์แน่

สุดท้าย คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ทีมอันดับ 18 วันอาทิตย์นี้ต้องการสามแต้มเช่นกันเพื่อการอยู่รอด ในเกมรับมือ “หงส์แดง” ซึ่งลูกทีมคล็อปป์ก็ต้องการชัยชนะเช่นกันเพื่อการลุ้นแชมป์

ทิ้งท้ายไปดู อันดับตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมดาวซัลโวล่าสุด หลังจบเกมเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา

คนอื่นหลีกไป! ทำไม ฟาบินโญ่ ถึงควรเป็นมิดฟิลด์ตัวจริงให้ ลิเวอร์พูล

ฟาบินโญ่ สมควรเป็นตัวจริงเบอร์ 1 ในตำแหน่งแผงกลางของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้

อัลดริดจ์ เอาเกมนัดล่าสุดของ ลิเวอร์พูล ที่เปิดรัง แอนฟิลด์ เฉือนชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม มาเป็นการอ้างอิงถึงมุมมองของเขา โดยเจ้าตัวบอกว่าตอนแรกแผงกลางของ “หงส์แดง” เจอปัญหาหนักสุดๆ แต่พอ ฟาบินโญ่ ลงมาแล้วรูปเกมของเจ้าถิ่นก็ดูดีขึ้น

อัลดริดจ์ ถึงขั้นบอกด้วยว่าในทุกนัดที่เหลือหลังจากนี้นั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ควรจะดร็อปใครสักคนระหว่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม และ เจมส์ มิลเนอร์ พร้อมกับให้ ฟาบินโญ่ เป็นตัวจริง ซึ่งสถิติต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่าคำพูดของ อัลดริดจ์ ถือว่าสมเหตุสมผลพอตัว

– เข้าสกัดได้แม่นยำ
2.1 ครั้งต่อนัด คือค่าเฉลี่ยการเข้าสกัดสำเร็จของ Fa bin yo ในการเล่นเกม พรีเมียร์ลีก ซึ่งถ้าเทียบกับ เฮนเดอร์สัน, ไวจ์นัลดุม และ ฟาบินโญ่ แล้วล่ะก็ ดาวเตะชาวบราซิเลียนก็ถือเป็นแชมป์ในชาร์ตนี้ โดยอันดับ 2 อย่าง เฮนเดอร์สัน กับ มิลเนอร์ มีค่าเฉลี่ยเพียง 1.5 หนต่อเกมเท่านั้น

นอกจากนี้ ฟาบินโญ่ ยังมีค่าเฉลี่ยการตัดบอลได้ (หมายถึงการแย่งบอลโดยไม่ต้องสไลด์) ดีที่สุดในกลุ่ม 4 คนด้วย ที่จำนวน 1 หนต่อเกม ซึ่งการมีนักเตะแบบนี้อยู่ในสนามจะช่วยให้เกมรับเล่นได้ง่ายขึ้น พร้อมกับมีโอกาสเสียประตูน้อยลงตามไปด้วย

– ผ่านบอลโดยรวมได้ดี
ในกลุ่ม 4 คนนี้ ไวจ์นัลดุม อาจจะเป็นคนที่มีเปอร์เซ็นต์ผ่านบอลโดยรวมดีที่สุด ที่จำนวน 91.1 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ Fa bin yo ตามมาห่างๆ ที่ 85.3 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเทียบเฉพาะการผ่านบอลในระยะสั้นแล้วทั้งคู่ไม่ได้ต่างกันมากเลย

ไวจ์นัลดุม มีค่าเฉลี่ยผ่านบอลระยะสั้นแม่นยำอยู่ที่ 45.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทาง ฟาบินโญ่ แพ้เขาแค่ 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่ในด้านการผ่านบอลระยะยาวแล้ว Fa bin yo ก็เหนือกว่าด้วยซ้ำ เพราะเขาผ่านบอลระยะยาวเข้าเป้า 2.7 หนต่อเกม ส่วนของ ไวจ์นัลดุม อยู่ที่ 1.8 หนต่อนัด

ถึงแม้เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำในการผ่านบอลของ Fa bin yo จะสู้ ไวจ์นัลดุม ไม่ได้ แต่เขาก็แพ้อีกฝ่ายไปแค่นิดเดียว ในทางกลับกัน เขายังมีประโยชน์ในด้านเกมรับอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาน่าจะช่วยทีมได้หลายด้านกว่า

– โดดเด่นด้านลูกกลางอากาศ
การเป็นมิดฟิลด์ที่ดีบางครั้งก็ต้องชิงโหม่งจังหวะที่คู่แข่งโยนยาวมาด้วย ซึ่งค่าเฉลี่ยการชนะลูกกลางอากาศของ ไวจ์นัลดุม ในลีกอยู่ที่ 0.9 ครั้งต่อเกมเท่านั้น ขณะที่ของ เฮนเดอร์สัน กับ มิลเนอร์ อยู่ที่ 0.7 หนต่อเกม

อย่างไรก็ตาม ฟาบินโญ่ เหนือกว่าทั้ง 3 คนอย่างมาก เพราะเขามีค่าเฉลี่ยการชนะการดวลกลางอากาศถึง 2 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าเวลาคู่แข่งโยนยาวมา เขาก็มักจะช่วยดักบอลได้ดีอยู่บ่อยๆ และทำให้เกมของ ลิเวอร์พูล เล่นง่ายตามไปด้วย

ไฟเขียว! ลิเวอร์พูลพร้อมอนุมัติงบมหาศาลให้ คล็อปป์ ดึง อิสโก้

ลิเวอร์พูล เตรียมอนุมัติเงินจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพื่อเป็นค่าตัวของ อิสโก้ มาเสริมความแกร่งในแนวรุกในช่วงซัมเมอร์นี้
บอร์ดบริหารของลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมอนุมัติเงินจำนวน 100 ล้านยูโร ให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพื่อนำไปสู่ขอ อิสโก้ มิดฟิลด์ชาวสแปนิชของ เรอัล มาดริด มาร่วมทีม หลังจบซีซั่นนี้ จากการายงานของ ดิอาริโอ โกล สื่อชื่อดังจากสเปน เมิ่อวันที่ 18 มีนาคม

อิสโก้ วัย 26 ปี ที่ยังเหลือสัญญากับ “ราชันชุดขาว” ถึงปี 2022 ต้องกลายเป็นส่วนเกินของทีมภายใต้การทำทีมของกุนซือ ซานติอาโก้ โซลารี่ หลังจาก จูเลน โลเปเตกี โดนปลดออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามเจ้าตัวเพิ่งกลับมาลงเล่นเป็นตัวจริง และทำได้หนึ่งประตูในเกมที่ เรอัล มาดริด ชนะ เซลต้า บีโก้ 2-0 ในเกมลีกนัดล่าสุด หลังจากสโมสรประกาศแต่งตั้ง ซีเนดีน ซานดาน เฮ้ดโค้ชชาวฝรั่งเศสกลับมากุมบังเหียนรอบที่สอง ทำให้สถานการณ์ของเจ้าตัวกลับมาสดใสอีกครั้ง

แต่ถึงกระนั้นล่าสุด ดิอาริโอ โกล ระบุว่า คล็อปป์ กำลังจับตาดูสถานการณ์ของ อิสโก้ อย่างใกล้ชิด โดยต้องการมาเสริมความแกร่งในแนวรุกเนื่องจากทีมกำลังขาดนักเตะสร้างสรรค์เกม ซึ่งมิดฟิลด์ชาวสเปนตอบโจทย์ดังกล่าว และน่าจะเล่นเข้ากับระบบทีม

ขณะเดียวกัน ดอน บาลอน อีกหนึ่งสื่อจากสเปน อ้างว่า อิสโก้ ได้ตัดสินใจวางแผนอำลาทีมล่วงหน้าไว้แล้วหลังจบซีซํ่นนี้ โดยมี พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นเป้าหมายต่อไป และนักเตะได้รับอนุญาตจากสโมสรให้ย้ายทีมได้โดยตั้งค่าตัวไว้ที่ 100 ล้านยูโร