Design a site like this with WordPress.com
เริ่มได้

เทรนท์ ยันไม่เจตนาใช้แขนปัดบอล-คาร์ร่าชี้โชคดีไม่โดนแดง

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กดาวรุ่งของลิเวอร์พูล กล่าวชัดเจนว่าตนไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้แขนปัดบอล โดยมันเป็นสัญชตญาณของมนุษย์ที่บอลพุ่งมาแรงแล้วไม่สามารถควบคุมมันได้ ในเกมที่หงส์แดงบุกเอาชนะนิวคาสเซิล 3-2 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
เด็กปั้นของหงส์แดงวัย 20 ปี เปิดใจเกี่ยวกับจังหวะปัญหาที่ตัวเขาทำแฮนด์บอลบนเส้นประตูแต่ผู้ตัดสิน อันเดร มาร์ริเนอร์ ให้เป็นจังหวะต่อเนื่องแก่นิวคาสเซิล จนเดอะ แม็กพายส์ ได้ประตูตีเสมอ 1-1 จากคริสเตียน อัตซู ซึ่งทำให้เจ้าตัวรอดพ้นจากการโดนไล่ออกจากสนามและจากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหนูเทรนท์ ก็เป็นคนเปิดบอลให้โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำประตูพาลิเวอร์พูลกลับขึ้นไปนำ 2-1 อีกครั้ง

ในเรื่องนี้เอง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยืนยันว่าตนไม่ได้มีเจตนาที่จะปัดบอลแต่อย่างใด โดยมันเป็นสัญชาตญาณเท่านั้น เพราะบอลมันพุ่งมาเร็วมาก “บอลมันพุ่งมาหาผมเร็วมากๆ – มันก็เป็นเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น(ที่ปัดบอลทิ้ง)”

“แขนของผมมันไม่ได้กางออกเลยนะ ที่บอลมันไปโดน แขนมันก็ยังแนบลำตัว”

ทั้งนี้จากจังหวะดังกล่าว เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ควรสมควรโดนใบแดง ซึ่งเจมี่ คาร์ราเกอร์ กูรูแห่งสกาย สปอร์ตส์ ก็ออกมากล่าวว่า แบ็กขวารายนี้ โชคดีที่ไม่โดนไล่ออกจากสนามไป “เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โชคดีมาก มันเกิดขึ้นในตอนสกอร์ 1-1 มันดีที่สุดแล้วกับสถานการณ์ของลิเวอร์พูลในตอนนี้”

ลากาแซตต์ เบิ้ล-โอบายิงปิด’ อาร์เซน่อลอัดแซงบาเลนเซียศึกยูโรปา

ลากาแซตต์ ตะบันสองตุง ขณะที่ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ซัดส่งท้ายช่วย “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล เปิดบ้านยิงแซงเก็บชัยเหนือ “ไอ้ค้างคาว” บาเลนเซีย 3-1 กุมความได้เปรียบเอาไว้ได้ก่อน ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา

“ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ผลงานในลีกไม่สู่ดีล่าสุดบุกโดน “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้ ขย้ำ 0-3 เกมนี้เล่นในบ้านจึงต้องเน้นหนักหวังกู้หน้าคืนกลับมาให้แฟนบอล

ข่าวคาดว่าจะไม่มี ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ร่วมทัพแต่เมื่อเผยรายชื่อ 11 ตัวจริงออกมา ปืนใหญ่ ใส่ไม่ยั้งหวังผลิตสกอร์ วางคู่หน้า ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กับ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ โดยมี เมซุต โอซิล คอนป้อนสะพานปืนในตำแหน่งหน้าต่ำ

ฝั่ง “ไอ้ค้างคาว” บาเลนเซีย เห็นได้ชัดว่าเกมนี้ต้องการอย่างน้อยหนึ่งแต้มจัดทัพมาตั้งรับในระบบ 5-4-1 โดยห้อย โรดริโก้ โมเรโน่ ดาวยิงตัวเก่งไว้รอสวนกลับแต่เพียงหน่อเดียว

เริ่มเกมเพียง 54 วินาที อเล็กซองค์ ลากาแซตต์ ถูกผู้เล่นบาเลนเซียเบียดล้มลงในเขตโทษแต่ ผู้ตัดสินชาวฝรั่งเศสชี้ให้เป็นลูกตั้งเตะจากเขตประตูสร้างเสียงฮือฮาให้กับแฟนปืนโตทั่วทั้งสนาม

นาทีที่ 8 บาเลนเซีย หวิดได้ประตูขึ้นนำก่อนจากจังหวะลูกฟรีคิกระยะประมาณ 40 หลาที่เปิดไปด้านข้างให้ โรดริโก้ โมเรโน่ ก่อนตวัดจากริมเส้นฝั่งซ้าย

แต่แล้วนาทีที่ 11 ไอ้ค้างคาว ได้กระพือปีกสนั่นเมื่อออกนำไปก่อน 1-0 จะลูกเตะมุม ดานี่ ปาเรโฆ เปิดบอลเลยไปเสาไกล โรดริโก้ โมเรโน่ โหม่งย้อนกลับมาเข้าหัว มุคตาร์ เดียกาบี้ ขึ้นโขกระยะเผาขนไม่เหลือซาก

4 นาทีถัดมาทีมเยือนเกือบนำห่างอีกครั้ง ดานี่ ปาเรโฆ ได้โอกาสซัดไกลแต่ไปติดเซฟ ปีเตอร์ เช็ก ที่พุ่งปัดไว้ได้

นาทีที่ 18 อาร์เซน่อล ตามตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ให้ความเร็วกระชากหนีแผงหลังไอ้ค้างคาวหลุดเข้าไปในเขตโทษก่อนหักหลอกเข้าขวาแล้วถวายพานให้ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ วิ่งเข้ามาแปด้ายเท้าซ้ายส่งบอลไปกองก้นตาข่ายอย่างง่ายดายเรียกได้ว่าคู่หน้ามหาประลัยจริงๆ

นาทีที่ 24 โรดริโก้ โมเรโน่ ศูนย์หน้าบาเลนเซีย ได้ซัดไกลอีกครั้งแต่คราวนี้ไปติดบล็อกแผนหลังเจ้าถิ่น

นาทีถัดมาเป็น อาร์เซน่อล แซงนำ 2-1 กรานิต ชาคา เปิดบอลโด่งโค้งทางฝั่งซ้ายไปเข้าหัว อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ ขึ้นโขกโล่งๆ ก่อนถูก เนโต้ นายด่านทีมเยือนปัดได้ในจังหวะแรกแต่ไปชนเสาก่อนเจ้าตัวจะปัดบอลออกมาอีกครั้ง และในจังหวะนี้เองผู้ช่วยผู้ตัดสินเพิ่มเติมที่ 1 ( โกลไลน์) ส่งสัญญานว่าลูกบอลผ่านเส้นประตูเข้าไปแล้ว กเลมงต์ ตูร์กแป็ง ท่านเปาเกมนี้จึงให้สัญญานเป็นประตูทันที และเมื่อกลับมาย้อนดูภาพช้าจากเทคโนโลยีโกลไลน์อีกครั้งจะเห็นได้ว่าบอลได้ผ่านเส้นประตูเข้าไปอย่างชัดเจน และนับเป็นประตูที่สองของ ลากาแซตต์ ในเกมนี้อีกด้วย

ทัพปืนโตเหมือนได้ใจ นาทีที่ 33 ได้ลุ้นอีกครั้งเมื่อ โอบาเมยอง เอี้ยวตัววอลเล่ย์ซัดเข้าที่บอลแบบไม่จับในกรอบเขตโทษบาเลนเซียทางฝั่งขวาระยะไม่ถึง 15 หลาแต่เหมือนโดนไม่ดีบอลตกกระดอนที่พื้นก่อนหลุดออกข้างเสาไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 36 บาเลนเซีย ได้ฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลา ดานี่ ปาเรโฆ วิ่งเข้ามาตะบันเต็มข้อบอลเหินข้ามคานแบบไม่ได้ลุ้น

เจ้าถิ่นยังโหม่บุกอย่างหนักเพื่อหวังบอกสกอร์เพิ่มแต่ทำไม่ได้จบครึ่งแรก อาร์เซน่อล แซงนำ บาเลนเซีย 2-1

เริ่มทำการแข่งขันในครึ่งเวลาหลัง นาทีที่ 50 การ์ลอส โซเลร์ ของบาเลนเซียได้หวดเต็มข้อบอลไปโดนฝั่งเดียวกันเองทำท่าจะเปลี่ยนทางแต่หลุดออกด้าข้างไปอย่างน่าเสียดาย

เลยมาถึงนาทีที่ 57 เจ้าถิ่นต่อบอลขึ้นไปถึง ลากาแซตต์ ทางริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนส่งต่อให้ มัตเตโอ เกนดูซี่ ปั่นโค้งหน้ากรอบเขตโทษบาเลนเซีย แต่ไปติดบล็อกผู้เล่นทีมเยือนออกไป

นาทีที่ 63 อาร์เซน่อล ได้ลุ้นอีกครั้ง โอบาเมยอง สับหลอกทางริมเส้นฝั่งซ้ายแล้วเปิดบอลโด่งเลยไปถึง ลากาแซตต์ ที่ยืนโหม่งโล่งๆ แต่เจ้าตัวดันวืดกลายเป็นโขกลมแทนลูกบอล ถึงนาทีนี้ อาร์เซน่อล ครองเกมได้มากกว่าถึง 69 ต่อ 31 เปอร์เซ็นต์

ทัพปืนใหญ่พลาดโอกาสทองอีกครั้งนาทีที่ 67 เมื่อ ลากาแซตต์ หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงแบบดวลเดี่ยวกับ เนโต้ นายด่านทีมเยือนแต่กลับยิงไปติดขา และซ้ำดาบสองยังไปติดมือ เนโต้ อีกครั้ง ลากาแซตต์ ถึงกับเอามือกุมหน้าเพราะพลาดบวกสกอร์ให้ต้นสังกัดและพลาดทำแฮตทริกให้ตัวเองในเกมนี้

นาที่ที่ 73 บาเลยเซีย ได้ลุ้นตีเสมอ ดานี่ ปาเรโฆ แทงบอลให้ เควิน กาเมโร่ หลุดเดี่ยวเข้าไปซัดแต่ ปีเตอร์ เช็ก ออกมาปิดมุมไวทำให้แทบไม่เหลือมุมยิงและโดนตัว เช็ก ออกด้านข้างไป

มาถึงนาทีที่ 82 ทีมเยือนโหมบุกขึ้นมาอีกครั้งและจบที่ เควิน กาเมโร่ ซัดไม่ถึง 10 หลาข้ามคานอย่างน่าเสียดาย

ทัพปืนโตมาได้ประตูตอกฝากโลงนาทีที่ 90 ลากาแซตต์ ซัดไปติดเซฟ เนโต้บอลกระดอนมาเข้าทาง ลากาแซตต์ อีกครั้งก่อนส่งให้ เซอัด โคลาซินัช ปั่นโค้งจากริมเส้นเลยไปถึง โอบาเมยอง ที่ตัดสินใจซัดแบบไม่จับเข้าไปโคนเสาเรียกได้ว่ามุมแทบจะไม่มีให้ยิง ส่ง อาร์เซน่อล นำห่าง 3-1

เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบเกม อาร์เซน่อล เปิดบ้านรัวแซง บาเลนเซีย 3-1 เก็บชัยไปได้ก่อนแต่ยังต้องกลับไปลุ้นต่อนัดสองที่รังไอ้ค้างคาวอีกนัด

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
อาร์เซน่อล (3-4-1-2) : ปีเตอร์ เช็ก – โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ (นาโช่ มอนเรอัล น.82), ชโคดราน มุสตาฟี่ – เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส, มัตเตโอ เกนดูซี่ (ลูกัส ตอร์เรยร่า น.58), กรานิต ชาคา, เซอัด โคลาซินัช – เมซุต โอซิล (เฮนริค มคิทาร์ยาน น.75) – ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง, อเล็กซองด์ ลากาแซตต์

บาเลนเซีย (5-4-1) : หลุยส์ เนโต้ – โฆเซ่ หลุยส์ กาย่า, กาเบรียล เปาลิสต้า, เอเซเกล การาย, มุคตาร์ เดียกาบี้, ฟาคุนโด้ รอนคาย่า – กอนคาโล่ กูเอเดส (เควิน กาเมโร่ น.71), ดานี่ ปาเรโฆ, การ์ลอส โซเลร์ (ดาเนียล วาสส์ น.71), คริสเตียโน่ ปิคซินี่ – โรดริโก้ โมเรโน่ (ซานติ มิน่า น.88)

คืนจ่าฝูง! ชำแหละ 5 ข้อเด็ด ลิเวอร์พูล โชว์ของทุบ คาร์ดิฟฟ์

คืนจ่าฝูง พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง หลังจากพวกเขาบุกไปชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 2-0 ที่สนามคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยงานนี้ทำให้การลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในฤดูกาลนี้เต็มไปด้วยความเข้มข้น และลุ้นกันแบบนัดต่อนัดเลยทีเดียว

แม้ว่า “หงส์แด” จะเจอกับความยากลำบากในการเจาะเข้าทำประตูในครึ่งแรก แต่สุดท้ายพวกเขาสามารถปลดล็อกได้จากจังหวะที่ เทรนต์ -อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เปิดบอลให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดงามให้ทีมในช่วงเกมผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง

จากนั้นทีมมาคลายความกดดันมายิ่งขึ้นจากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ที่ขันอาสาสังหารไม่เหลือซาก โดยตอนนี้สาวก “เดอะ ค็อป” คงต้องลุ้นกันยิ่งกว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะ “ผีแดง” มีคิวรับมือ แมนฯ ซิตี้ และนี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่แฟนบอล “หงส์แดง” จะถอดใจเชียร์ “เร้ด เดวิลส์”

1. อลีสซง ทำผลงานยอดเยี่ยม
ลิเวอร์พูล มีโอกาสมากมายในช่วง 45 นาทีแรกจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ นีล เอเธอริดจ์ นายทวาร คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เข้าไปซุกก้นตาข่ายได้เลย ทำให้ทีมต้องเจอกับแรงกดดันในช่วงครึ่งหลัง

ฟอร์มของ “หงส์แดง” ในเกมนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าพวกเขาเหนือกว่าเจ้าบ้านพร้อมกับสถิติครองบอลได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในครึ่งแรก แต่ก็มีบางจังหวะที่พลาดให้ คาร์ดิฟฟ์ ได้สร้างความหวาดเสียวเหมือนกัน และโชคดีที่ทีมมี อลีสซง เฝ้าเสา ไม่งั้นอาจมีสิทธิ์น้ำตาตกก็ได้

จังหวะที่โดดเด่นเป็นสง่าของ คาร์ดิฟฟ์ คงเป็นในนาทีที่ 44 จากจังหวะที่ อูมาร์ แนสส์ พลิกตัวเร็วตวัดยิง แต่ อลีสซง ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นพอดีทำให้เจ้าตัวสามารถกระโดดปัดบอลข้ามคานออกไป ซึ่งถือเป็นจังหวะสำคัญมากๆ ที่ช่วยให้ “หงส์แดง” ไม่เสียประตูก่อนพักครึ่ง

ผลงานยอดเยี่ยมที่รักษาคลีนชีตใหนแมตช์นี้ทำให้ นายด่านชาวบราซิเลียน เก็บไปแล้ว 19 คลีนชีตในเกมลีกฤดูกาลนี้ และแน่นอนว่าเขามีลุ้นที่จะคว้ารางวัลถุงมือทองคำ เนื่องจากมีสถิติไม่เสียประตูเหนือกว่า เอแดร์สัน โกล์เพื่อนร่วมชาติจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้

2. แอสซิสต์สำคัญจากเจ้าหนูอาร์โนลด์
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ฟูลแบ็กดาวรุ่งพุ่งแรง เก็บแอสซิสต์ให้กับตัวเองได้อีกครั้ง หลังจากเปิดเตะมุมให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดสวยผ่านมา นีล เอเธอริดจ์ โกล์เจ้าบ้าน ช่วยปลดล็อกให้ “เดอะ เร้ดส์” ในช่วงต้นครึ่งหลัง

จังหวะแอสซิสต์ของสตาร์ลูกหนังเสื้อเบอร์ 66 ส่งผลให้ช่องว่างในการแข่งทำแอสซิสต์กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันในฤดูกาล 2018-19 สูสีมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” ที่เห็นการแข่งขันดังกล่าวสร้างประโยชน์ให้กับทีมอย่างมาก

ตอนนี้ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 10 ครั้ง ขณะที่ กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 11 ครั้ง โดยอีก 3 เกมที่เหลืออยู่แฟนบอลลิเวอร์พูลคงหวังว่าทั้งสองคนยังผลิตผลงานดีมีคุณภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันไม่ว่าจบซีซั่นนี้ “หงส์แดง” จะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ แต่ คล็อปป์ คงแฮปปี้กับผู้เล่นฟูลแบ็กทั้งสองคนมากๆ

3. ไวจ์นัลดุม ประตูปลดล็อก
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะครองเกมได้เหนือกว่าแต่ดูเหมือนว่านักเตะมีอาการประหม่าสุดๆ ไม่ใช่แค่ผู้เล่นในสนามเท่านั้น เพราะที่ซุ้มม้านั่งสำรอง และบนอัฒจันทร์ต่างก็รู้สึกหวาดหวั่น เนื่องจากทีมยังไม่สามารถยิงประตูขึ้นนำได้ทั้งๆ ที่เกมผ่านมาเกือบ 1 ชั่วโมง

จนกระทั่ง จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม สวมบทผู้ปลดแอกเมื่อเขาวอลเลย์ลูกบอลสุดงามจากการเตะมุมของเจ้าหนูเทรนต์ ถือเป็นการปลดล็อคความเครียด และความประหม่าของลิเวอร์พูลได้ทันที และแน่นอนว่านั่นคงจุดที่ทำให้ทีมมีความมั่นใจมากขึ้น และเดินเครื่องที่จะทำประตูเพิ่ม

หลังจากที่ ดาวเตะเลือดดัตช์ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย แน่นอนว่าทำให้นักเตะและกองเชียร์ผู้มาเยือนระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นมานานได้ซะที แม้ว่านี่จะเป็นเพียงประตูที่สามในฤดูกาลนี้ของไวจ์นัลดุม แต่เป็นประตูที่มีความสำคัญมากๆ ต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

4. 3 ประสานใช้จังหวะเปลื้อง
สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหวาดวิตกสำหรับนักเตะ, โค้ช และผู้เล่นสำรอง ในช่วงครึ่งหลังมาจากการที่ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสหลายต่อหลายครั้งที่จะทำประตูในช่วงครึ่งแรก และนั่นทำให้พวกเขาต้องเจอความกดดันอย่างหนักในการเล่นครึ่งหลัง

จังหวะที่งามหยดที่ “หงส์แดง” ควรจะได้ประตูนำเกิดขึ้นในนาที่ 23 เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ จ่ายบอลตามช่องแบบถวายใส่พานทองคำ ให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษ แต่ยิงบอลผ่านตัว นีล เอเธอริดจ์ หลุดกรอบออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ

ขณะที่ มาเน่ ก็มีโอกาสเช่นกัน เมื่อ ดาวเตะเซเนกัล ได้บอลหน้าเขตโทษฝั่งขวาจากนั้นก็สับไกด้วยขวา แต่บอลหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย ส่วน ซาลาห์ โชว์ลีลาพลิกบอลหนี บรูโน่ เอกูเอเล่ ม็องก้า หลุดเข้าไปดีดด้วยซ้ายในเขตโทษ แต่โดน เอเธอริดจ์ ออกมาบีบมุมเซฟเอาไว้ได้

ในช่วงเวลาคับขันและความตึงเครียดถาโถม แต่พวกเขาได้ฮีโร่อย่าง ไวจ์นัลดุม ที่ยิงประตูปลดล็อกในช่วงเกมผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง หากไม่ได้ประตูของแข้งดัตช์มีหวังสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ยิงกดดันจนถึงขั้นลนลานเลยก็ได้

5. ทุกสายตา “เดอะ ค็อป” จับจ้องเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอล์ด
แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกุมชะตากรรมในการลุ้นแชมป์เอาไว้ในมือเนื่องจากพวกเขาแข่งน้อยกว่า 1 แมตช์ แต่เกมนี้ “เรือใบสีฟ้า” เจอคู่แข่งสำคัญมากๆ นั่นก็คือการทำศึกดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด วันพุธที่ 24 เม.ย.นี้

สำหรับผลการแข่งขันบุกทุบ คาร์ดิฟฟ์ จะทำให้ “เดอะ เร้ดส์” ทวงบัลลังก์จ่าฝูงคืนมาก็ตาม เมื่อพวกเขามีแต้มนำห่าง “เรือใบสีฟ้า” 2 คะแนน แต่ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นจ่าฝูงได้อีกครั้งหากเอาชนะเกมที่ต้องพบ “ปีศาจแดง” ให้ได้

ในเกมล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ยับไม่นับญาติต่อ เอฟเวอร์ตัน 0-4 โดยหลังจบเกมนี้ โซลชา ประกาศก้องขอเรียกศรัทธาคืนจากสาวก “เร้ด อาร์มี่” ด้วยการนำลูกทีมไล่อัด แมนฯ ซิตี้ ให้ได้ เพราะหากทีมชนะพวกเขาก็ยังมีลุ้นซิวตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า

เชื่อหรือไม่ในเกมดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ บรรดาสาวก “เดอะ ค็อป” คงพร้อมใจเชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบสุดใจขาดดิ้นชัวร์

นอริช เกือบแย่!ไล่ตีเชฟฯเว้นส์เดย์ทดเจ็บตำแหน่งแชมป์ ชปช. ไม่แน่เสียแล้ว

นอริช ซิตี้ จ่าฝูงและเต็งจ๋าคว้าแชมป์ออกอาการสะดุดหลังทำได้เพียงเปิดบ้านเสมอ “นกเค้าแมว” เชฟฯ เว้นส์เดย์ 2-2 ในศึกฟุตบอล เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา

ครึ่งแรก นอริช ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 นาทีที่ 19 จาก มาร์โก สตีเปอร์มันน์ แต่กลับมาโดน เชฟฯ เว้นส์เดย์ ตีเสมอ 1-1 นาทีที่ 33 จาก เฟร์นานโด ฟอเรสเตียรี่

ครึ่งหลังเป็น เชฟฯ เว้นส์เดย์ แซงนำ 2-1 นาทีที่ 53 จาก สตีเว่น เฟสเซอร์ เกมทำท่าจะจบลงผลสกอร์นี้แต่แล้วนาทีที่ 90+7 นอริช ไล่ตีเสมอ 2-2 จาก มาริโอ วรันชิช และจบลงด้วยผลสกอร์นี้

นอริช ซิตี้ เก็บเพิ่มได้เพียงแต้มเดียวยังคงรั้งจ่าฝูงโดยแข่งไปแล้ว 42 นัดมี 86 คะแนน มี “ดาบคู่” เชฟฯ ยูไนเต็ด และ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด อันดับ 2 และ 3 ตามลำดับไล่จี้มาที่ 82 คะแนน แต่ทั้งสองทีมแข่งไปแล้ว 43 นัด หากดูจากสถานการณ์ดังกล่าวตำแหน่งแชมป์ลีกพระรองของอังกฤษยังคงเปิดกว้างเพราะหาก 4 เกมที่เหลือของนอริชพลาดท่า แล้ว 3 นัดที่เหลือของ เชฟฯ ยูไนเต็ด กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้ดีก็มีโอกาสแซงเข้าป้ายได้เช่นเดียวกัน ต้องติดตามลุ้นกันต่อไป

เดอ บรอยน์เดือด-ซนดุ! ตัดเกรดนักเตะนัดสเปอร์สบุกดับฝันแมนซิตี้

แมนฯซิตี้ สู้ไม่ถอยแม้จะต้องเสียเปรียบเรื่องอเวย์โกล์ แต่พวกเขาก็สามารถยิงแซงได้ อย่างไรก็ตามแค่จังหวะเดียว สเปอร์ส สามารถพลิกเกมจากนักเตะสำรองส่งให้ทีมเข้ารอบรองชนะเลิศ มีหนึ่งแข้งเกมนี้ที่ได้คะแนนไปถึง 9 แต้ม จากฟอร์มสุดเทพ เป็นคนไหนจากทีมไหนไปดูกัน

แมนฯ ซิตี้

เอแดร์ซอน โมราเอส 6.5
ประตูที่เสียทั้งหมดคงโทษเขาไม่ได้ มีจังหวะเซฟลูกยิงของ ยอเรนเต้

ไคล์ วอล์คเกอร์ 7
เปิดพื้นที่ให้ ซน ฮึง-มิน เล่นง่าย เกมรับอาจจะไม่แน่น แต่ช่วยเติมเกมบุกได้ดีตลอด

แว็งซ็องต์ ก็อมปานี 7.5
หลังจากเสียสองประตูช่วงต้นเกม เขาก็ช่วยป้องกันเกมรับได้ค่อนข้างเยอะ เคลียร์จังหวะสำคัญได้ตลอด

เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ 4
เป็นคนทำพลาดประตูแรก และเป็นคนประกบ ยอเรนเต้ พลาดในประตูสุดท้าย

เบนฌาแม็ง เมนดี้ 7
คุมเกมฝั่งซ้ายได้เยี่ยม เติมเกมรุกได้หลายจังหวะ แต่เกมรับยังมีผิดพลาดอยู่บ้าง

เควิน เดอ บรอยน์ 9
เจ้าพ่อแอสซิสต์ของแท้ จ่ายให้เพื่อนร่วทีมทำประตูไป 3 ครั้ง แถมการพาบอลขึ้นหน้าของเขาสร้างปัญหาให้แนวรับสเปอร์สมาก

อิลคาย กุนโดกัน 7
แม้เกมรับในนัดนี้อาจจะทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่มีส่วนสำคัญในเกมรุกโดยเฉพาะประตูที่ 4 เขาเป็นคนเริ่มทำเกม

ดาบิด ซิลบา 6.5
อาจจะเล่นได้ตามมาตรฐาน แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่าแนวรุกคนอื่น

ราฮีม สเตอร์ลิง 8
ทำสองประตูตั้งแต่ต้นเกม ทำให้ตลอดทั้งเกมดูมั่นใจ น่าเสียดายกับประตูในช่วงทดเจ็บ

เซร์คิโอ ”กุน” อเกวโร่ 8
ทำแอสซิสต์ให้ ดาบิด ซิลบา ก่อนจะมาซัดประตูสำคัญในครึ่งหลัง น่าเสียดายประตูเขากลายเป็นประตูไร้ความหมาย

แบร์นาร์โด้ ซิลวา 7.5
สร้างปัญหาให้แนวรับ สเปอร์ส ได้เยอะ ยิงประตูตีเสมอช่วงต้นเกม เป็นคนเริ่มทำเกมในประตูที่สาม

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

แฟร์นานดินโญ่ 6 (ลงมาแทน ดาบิด ซิลบา น.63)
มีตัดเกมสวยๆอยู่บ้าง

เลรอย ซาเน่ – (ลงมาแทน เบนฌาแม็ง เมนดี้ น.84)
ลงมาท้ายเกมแล้ว

สเปอร์ส

อูโก้ โยริส 7.5
หมดสิทธิ์รับลูกยิงทุกลูกที่เสีย แต่ก็ช่วยทีมเซฟประตูค่อนข้างเยอะ

คีแรน ทริปเปียร์ 5
โดน ราฮีม สเตอร์ลิง ปั่นป่วนค่อนข้างมาก โดนโยกหลอกง่ายๆในประตูแรกแถมปล่อยให้ยิงประตูที่สองง่ายๆ

โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ 7
เจองานหนักตลอดทั้งเกม มีบล็อคลูกยิงสำคัญของ อเกวโร่ ฟอร์มโดยรวมยังถือว่าใช้ได้

แยน แฟร์ต็องเก้น 6.5
หยุด อเกวโร่ ยิงประตูที่ 4 ไม่ได้ ฟอร์มมาดีในช่วง 15 นาทีสุดท้ายที่ทีมป้องกันเกมบุกพายุของ แมนฯซิตี้

แดนนี่ โรส 6
โชคร้ายกับลูกยิงแฉลบมาโดนเขาเข้าประตู มีจังหวะตัดบอลสวยๆอยู่บ้าง

มุสซ่า ซิสโซโก้ 5.5
ประกบผู้เล่น เดอ บรอยน์ ค่อนข้างห่างเลยทำให้เสียประตูแรก มีช่วยเกมรับได้บ้าง โชคร้ายได้รับบาดเจ็บจนต้องเลี่ยนตัว

วิคเตอร์ วานยาม่า 6
งานชุกพอสมควรกับการับมือเกมบุก แมนฯซิตี้ บางจังหวะตัดเกมเยี่ยมและนิ่ง แต่บางจังหวะก็ผิดพลาด

คริสเตียน เอริคเซ่น 6.5
จัดแอสซิสต์ให้ ซน ฮึง-มิน ช่วงต้นเกมแทบเป็นศูนย์กลางในการทำเกมรุก แต่หลังจากนั้นการมีส่วนร่วมกับเกมน้อยลงไป

เดเล่ อัลลี่ 6
มีส่วนสำคัญในการได้ประตูตีเสมอช่วงต้นเกม แต่โดน แมนฯซิตี้ บีบบังคับให้เล่นเกมรับเป็นส่วนใหญ่ เจอ เดอ บรอยน์ เผาเครื่องหลายครั้ง

ลูคัส มูร่า 7
มีส่วนสำคัญในประตูที่สอง การวิ่งและเคลื่อนที่ของเขาทำได้ยอดเยี่ยม แต่ฟอร์มหายไปในครึ่งหลัง

ซน ฮึง-มิน 8
เปิดเกมด้วยการยิงสองประตูสุดสวย ปั่นป่วนแนวรับ แมนฯซิตี้ ได้เกือบทั้งเกม

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

เฟร์นานโด ยอเรนเต้ 6.5 (ลงมาแทน มุสซ่า ซิสโซโก้ น.41)
อาจจะไม่ได้มีส่วนกับเกมมาก แต่ก็ลูกโหม่งไว้ใจเขาได้ มีโหม่งเตือนกองหลังแมนฯซิตี้ ก่อนจะทำประตูสำคัญพาทีมเข้ารอบ

เบน เดวิส – (ลงมาแทน ลูคัส มูร่า น.82)
ลงมาช่วยเกมรับเป็นส่วนใหญ่

ดาวินซอน ซานเชซ – (ลงมาแทน แดนนี่ โรส น.90+1)
ลงมาท้ายเกมแล้ว

เลสเตอร์ลุ้นเฮ5นัดติด! “วาร์ดี้” พร้อมยิง,นิวคาสเซิ่ลยังเสี่ยงตกชั้น

วาร์ดี้ พร้อมปิดสกอร์ เกมรับ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ที่ยังไม่ปลอดภัยในการอยู่รอดลีกสูงสุด ลุ้นระทึกได้ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1, เวลา : 02.00 น.

สนาม : คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พาทีม ”สุนัขจิ้งจอก” อยู่สูงถึงอันดับ 7 หลังจากโชว์ฟอร์มฮอตชนะ 4 เกมติดต่อกันโดยฟอร์มล่าสุดพวกเขาบุกถล่ม ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ถึง 4-1 กันเลยทีเดียว

เรียกว่ากำลังอยู่ในช่วงผลงานดีสุดของซีซั่นนี้เลยทีเดียว หลังมีการปรับเปลี่ยนผู้จัดการทีม

ส่วนสภาพทีมคาดว่า บีร็อด จะยังปราศจาก มาร์ค อัลไบรท์ตัน ตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้ายยังคงไม่สามารถช่วยทีมได้เพราะเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า เช่นเดียวกับ แดเนียล อามาร์ตี้ย์ ที่เจ็บยาวอีกรายหนึ่งด้วย

อย่างไรก็ตาม เลสเตอร์ จะมี เจมี่ วาร์ดี้ เป็นหน้าเป้าซึ่งเกมก่อนทำคนเดียว 2 ประตูโดยมี เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์, เดมาไร เกรย์ ฯลฯ เป็นตัวสนับสนุน

ฟาก ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม ”สาลิกาดง” ทีมอันดับ 15 พาทีมสะดุดไม่ชนะใครมา 3 เกมติดต่อกันเก็บเพิ่มได้แต้มเดียว ล่าสุดแพ้ คริสตัล พาเลซ 0-1 คาถิ่นตัวเอง ทำให้ยังมีความสุ่มเสี่ยงที่ยังกตชั้นไปเดอะแชมเปี้ยนชิพได้ หากว่าฟอร์มแผ่วไม่ฟื้นจริง

อย่างไรก็ตาม นิวคาสเซิ่ล ไม่ได้กดดันอะไรมากนัก เพราะอยู่เหนือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในโซนตกชั้นถึง 7 คะแนน

ทีมยังไม่สามารถใช้ ฌอน ลองสตัฟฟ์ (เข่า) ที่เจ็บยาวได้เช่นเคย รวมทั้ง ฟลอร็องต์ เลอจูเน่ ปราการหลังที่เจ็บเข่าจากเกมแพ้ พาเลซ ด้วย ซึ่งนัดนั้นเป็น พอล ดัมเมตต์ ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทน

นอกจากนี้ นิวคาสเซิ่ล ยังต้องทดสอบความฟิตของ โมฮาเหม็ด ดิยาเม่ ผู้เล่นมิดฟิลด์อีกรายหนึ่งด้วย

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
เลสเตอร์ (4-1-4-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – ริคาร์โด เฟไรร่า, เวส มอร์แกน, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, เบน ชิลเวลล์ – วิลฟรีด เอ็นดิดี้ – เดมาไร เกรย์, ยูริ ตีเลม็องส์, เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ – เจมี่ วาร์ดี้
ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

นิวคาสเซิ่ล : (5-4-1) : มาร์ติน ดูบราฟก้า – เดอันเดร เยดลิน, ฟาเบียน ชาร์, จามาล ลาสเซลล์, พอล ดัมเมตต์, แมตต์ ริตชี่ – อาโยเซ่ เปเรซ, อิซัค เฮย์เด้น, คี ซุง-ยอง, มิเกล อัลมิร่อน – โซโลมอน รอนดอน
ผู้จัดการทีม : ราฟาเอล เบนิเตซ
ผู้ตัดสิน : คริส คาวานาฟ

เกร็ดเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– เลสเตอร์ เอาชนะได้ตลอด 4 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– เลสเตอร์ เอาชนะได้ 6 จาก 7 นัดหลังสุดที่พบ นิวคาสเซิ่ล รวมทุกรายการ
– เลสเตอร์ มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ถึง 7 จาก 8 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– เลสเตอร์ จะมีสกอร์นำในครึ่งแรก และเอาชนะตอนจบเกมได้ตลอด 3 นัดเหย้าหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– เลสเตอร์ จะยิงได้อย่างน้อย 2 ประตูต่อเกมตลอด 4 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– นิวคาสเซิ่ล ไม่ชนะเลยตลอด 8 นัดเยือนหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– นิวคาสเซิ่ล จะเสียอย่างน้อย 2 ประตูต่อเกมตลอด 3 นัดเยือนหลังสุดในพรีเมียร์ลีก

ผลการพบกันที่ผ่านมา
วันเดือน/ปี รายการ ผลการแข่งขัน
29/09/18 พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิ่ล 0 – 2เลสเตอร์ ซิตี้
07/04/18 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ 1 – 2นิวคาสเซิ่ล
10/12/17 พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิ่ล 2 – 3เลสเตอร์ ซิตี้
15/03/16 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0นิวคาสเซิ่ล
21/11/15 พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิ่ล 0 – 3เลสเตอร์ ซิตี้
02/05/15 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ 3 – 0นิวคาสเซิ่ล
03/01/15 เอฟเอ คัพ เลสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0นิวคาสเซิ่ล

ผลงาน 5 นัดหลัง
เลสเตอร์ ซิตี้
06/04/19 ชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 4-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
30/03/19 ชนะ บอร์นมัธ 2-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
16/03/19 ชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
09/03/19 ชนะ ฟูแล่ม 3-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
03/03/19 แพ้ วัตฟอร์ด 1-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก

นิวคาสเซิ่ล
06/04/19 แพ้ คริสตัล พาเลซ 0-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
01/04/19 แพ้ อาร์เซน่อล 0-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
16/03/19 เสมอ บอร์นมัธ 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
09/03/19 ชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-2 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
03/03/19 แพ้ เวสต์แฮม 0-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก

เฮแบบหืดจับ! ตัดเกรดแข้ง บาร์เซโลน่า เกมบุกเชือดแมนยู

บาร์เซโลน่า ก็ได้ชัยชนะตามที่ต้องการ หลังบุกไปพิชิต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันพุธที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ถือความได้เปรียบก่อนกลับไปเตะเลกสองที่ คัมป์ นู กลางสัปดาห์หน้า โดยที่โดดเด่นสุดในเกมนี้ของ บาร์ซ่า คือแนวรับ ซึ่งเล่นได้แข็งแกร่งมากๆ โดยเฉพาะ เคราร์ด ปีเก้ เด็กเก่า “ปีศาจแดง” และนี่คือผลสอบของแข้ง บาร์ซ่า แต่ละคนในเกมนี้
11 ผู้เล่นตัวจริง

– มาร์ค-อังเดร แทร์ ชเตเก้น : 6

แทบไม่ได้ทำอะไรเลยในเกมนี้ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถิติยิงตรงกรอบ 0

– เนลสัน เซเมโด้ : 7.5

เล่นได้เด่นทีเดียว เติมเกมรุกได้น่ากลัว และมีจังหวะที่จ่ายบอลให้ ซัวเรซ หลุดเข้าไปเกือบทำประตูได้

– เคราร์ด ปีเก้ : 8

กลับมา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยฟอร์มที่แข็งแกร่งสุดๆ คุมเกมรับได้เยี่ยม และตัดบอลได้สวยๆ หลายครั้ง โดยเฉพาะการสกัดช่วงท้ายเกม

– เกลม็องต์ ล็องเล่ต์ : 6

ยืนตำแหน่งได้ดี แต่จ่ายบอลเสียหลายครั้ง ซึ่งโชคดีที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่คมพอในการจบสกอร์

– จอร์ดี้ อัลบา : 7

เล่นเกมรับได้ดี และมีเติมเกมรุกให้เห็นเมื่อมีโอกาส

– อีวาน ราคิติช : 7

อาจจะไม่โดดเด่น แต่ทำได้ดีในการครองบอล และใช้กำลังสู้กับแดนกลางของ “ปีศาจแดง” ได้เยี่ยม

– เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ : 7

แม้เจอใบเหลืองตั้งแต่ต้นเกม แถมหวิดโดนไล่ออกตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรก แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีเลย แถมการหยอดบอลเข้าในเขตโทษของเขายังนำไปสู่ประตูชัยด้วย

– อาร์ตูร์ : 6

เล่นได้ไม่ค่อยดีนัก ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงกลางครึ่งหลัง

– ลิโอเนล เมสซี่ : 6.5

แม้ไร้สกอร์ และเล่นไม่ถนัด แต่ก็ป่วนแนวรับคู่แข่งได้เป็นระยะในการครองบอล และถือว่ามีส่วนในจังหวะได้ประตูชัย

– ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ : 5.5

มีโอกาสยิงไปติดเซฟ เด เคอา แต่ฟอร์มโดยรวมถือว่าน่าผิดหวัง

– หลุยส์ ซัวเรซ : 7

ขยันขันแข็ง วิ่งไม่มีหยุด และเป็นเพราะเขาที่ทำให้ทีมได้ประตูชัย จากการโหม่งบอลไปโดนตัว ลุค ชอว์ เข้าประตู

สำรองที่ได้ลงเล่น

– อาร์ตูโร่ วิดาล (แทน คูตินโญ่ น. 66) : 6.5

แม้ลงไปทำฟาวล์หลายครั้ง แถมโดนใบเหลืองภายในไม่กี่นาที แต่ก็ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าตัวอยู่แล้วที่จะลงไปช่วยเพิ่มความดุดันในแดนกลาง

– เซร์กี้ โรเบร์โต้ (แทน อาร์ตูร์ น. 66) : 6.5

ลงไปช่วยเติมความสดในแดนกลางตามแท็กติก

– การ์เลส อาเลนญ่า (แทน บุสเก็ตส์ 90+3) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้

เจอร์เก้นคล็อปป์ : ชั่วโมงนี้ แมนซิตี้ เก่งที่สุดในโลกแล้ว

เจอร์เก้นคล็อปป์ กุนซือใหญ่ลิเวอร์พูล ออกมาแสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า สำหรับเขาแล้วชั่วโมงนี้ต้องยกให้ แมนซิตี้ เป็นทีมที่เก่งที่สุดในโลก เพราะเมื่อดูจากผลงานที่กำลังมีลุ้นคว้า 4 แชมป์ แล้วก็ต้องเป็นแบบนั้น จากรายงานของ theguardian.com เมื่อ 5 เมษายน 2562

สำหรับ แมนซิตี้ ชั่วโมงนี้ ต้องถือว่ากำลังมาดีแบบสุด ๆ เพราะว่ากำลังมีลุ้นทำสถิติกวาดเรียบทั้ง 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว โดยตอนนี้ได้แชมป์ลีกคัพไปครองแล้ว ส่วน พรีเมียร์ลีก ก็นำเป็นจ่าฝูง ขณะที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็นับว่ามีลุ้น ส่วน เอฟเอ คัพ ก็ทะลุเข้ามาถึงรอบตัดเชือกแล้ว

เจอร์เก้น คล็อปป์ กล่าวว่า “เอาจริง ๆ ตอนนี้ผู้คนกำลังมองว่า แมนซิตี้ มีสิทธิ์คว้า 4 แชมป์มาครองได้นะ ซึ่งส่วนตัวผมแล้วก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะว่าพวกเขามีผลงานที่ดีจริง ๆ โดยเฉพาะในชั่วโมงนี้”

“ส่วน บาร์เซโลน่า คืนก่อนก็มีปัญหานิดหน่อยแต่พวกเขาก็กลับมาได้ ขณะที่ ยูเวนตุส ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเมื่อเทียบกับ แมนซิตี้ ผมคิดว่ายังดูคงเส้นคงวากว่าอีก 2 ทีมข้างต้นนะ แต่กับการแข่งขันในแชมเปี้ยนส์ ลีก อะไรก็เกิดขึ้นได้นะ มันคือความจริง”

“ฉะนั้น มันก็ไม่ง่ายเลยที่ แมนซิตี้ จะเอาชนะได้ในทุกเกมที่เหลือของทุกรายการแข่งขัน แต่ยังไงซะเราก็ต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้ พวกเขาดูดีที่สุดเลยเว้ยแก”

คนอื่นหลีกไป! ทำไม ฟาบินโญ่ ถึงควรเป็นมิดฟิลด์ตัวจริงให้ ลิเวอร์พูล

ฟาบินโญ่ สมควรเป็นตัวจริงเบอร์ 1 ในตำแหน่งแผงกลางของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้

อัลดริดจ์ เอาเกมนัดล่าสุดของ ลิเวอร์พูล ที่เปิดรัง แอนฟิลด์ เฉือนชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม มาเป็นการอ้างอิงถึงมุมมองของเขา โดยเจ้าตัวบอกว่าตอนแรกแผงกลางของ “หงส์แดง” เจอปัญหาหนักสุดๆ แต่พอ ฟาบินโญ่ ลงมาแล้วรูปเกมของเจ้าถิ่นก็ดูดีขึ้น

อัลดริดจ์ ถึงขั้นบอกด้วยว่าในทุกนัดที่เหลือหลังจากนี้นั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ควรจะดร็อปใครสักคนระหว่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม และ เจมส์ มิลเนอร์ พร้อมกับให้ ฟาบินโญ่ เป็นตัวจริง ซึ่งสถิติต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่าคำพูดของ อัลดริดจ์ ถือว่าสมเหตุสมผลพอตัว

– เข้าสกัดได้แม่นยำ
2.1 ครั้งต่อนัด คือค่าเฉลี่ยการเข้าสกัดสำเร็จของ Fa bin yo ในการเล่นเกม พรีเมียร์ลีก ซึ่งถ้าเทียบกับ เฮนเดอร์สัน, ไวจ์นัลดุม และ ฟาบินโญ่ แล้วล่ะก็ ดาวเตะชาวบราซิเลียนก็ถือเป็นแชมป์ในชาร์ตนี้ โดยอันดับ 2 อย่าง เฮนเดอร์สัน กับ มิลเนอร์ มีค่าเฉลี่ยเพียง 1.5 หนต่อเกมเท่านั้น

นอกจากนี้ ฟาบินโญ่ ยังมีค่าเฉลี่ยการตัดบอลได้ (หมายถึงการแย่งบอลโดยไม่ต้องสไลด์) ดีที่สุดในกลุ่ม 4 คนด้วย ที่จำนวน 1 หนต่อเกม ซึ่งการมีนักเตะแบบนี้อยู่ในสนามจะช่วยให้เกมรับเล่นได้ง่ายขึ้น พร้อมกับมีโอกาสเสียประตูน้อยลงตามไปด้วย

– ผ่านบอลโดยรวมได้ดี
ในกลุ่ม 4 คนนี้ ไวจ์นัลดุม อาจจะเป็นคนที่มีเปอร์เซ็นต์ผ่านบอลโดยรวมดีที่สุด ที่จำนวน 91.1 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ Fa bin yo ตามมาห่างๆ ที่ 85.3 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเทียบเฉพาะการผ่านบอลในระยะสั้นแล้วทั้งคู่ไม่ได้ต่างกันมากเลย

ไวจ์นัลดุม มีค่าเฉลี่ยผ่านบอลระยะสั้นแม่นยำอยู่ที่ 45.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทาง ฟาบินโญ่ แพ้เขาแค่ 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่ในด้านการผ่านบอลระยะยาวแล้ว Fa bin yo ก็เหนือกว่าด้วยซ้ำ เพราะเขาผ่านบอลระยะยาวเข้าเป้า 2.7 หนต่อเกม ส่วนของ ไวจ์นัลดุม อยู่ที่ 1.8 หนต่อนัด

ถึงแม้เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำในการผ่านบอลของ Fa bin yo จะสู้ ไวจ์นัลดุม ไม่ได้ แต่เขาก็แพ้อีกฝ่ายไปแค่นิดเดียว ในทางกลับกัน เขายังมีประโยชน์ในด้านเกมรับอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาน่าจะช่วยทีมได้หลายด้านกว่า

– โดดเด่นด้านลูกกลางอากาศ
การเป็นมิดฟิลด์ที่ดีบางครั้งก็ต้องชิงโหม่งจังหวะที่คู่แข่งโยนยาวมาด้วย ซึ่งค่าเฉลี่ยการชนะลูกกลางอากาศของ ไวจ์นัลดุม ในลีกอยู่ที่ 0.9 ครั้งต่อเกมเท่านั้น ขณะที่ของ เฮนเดอร์สัน กับ มิลเนอร์ อยู่ที่ 0.7 หนต่อเกม

อย่างไรก็ตาม ฟาบินโญ่ เหนือกว่าทั้ง 3 คนอย่างมาก เพราะเขามีค่าเฉลี่ยการชนะการดวลกลางอากาศถึง 2 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าเวลาคู่แข่งโยนยาวมา เขาก็มักจะช่วยดักบอลได้ดีอยู่บ่อยๆ และทำให้เกมของ ลิเวอร์พูล เล่นง่ายตามไปด้วย

อัลบาโรยรา!บาร์เซโลน่าวางแผนซิวอลาบาตัวแทนแบ็กซ้าย

อัลบาโรยรา ฟร้องซ์ ฟุตบอล สื่อของฝรั่งเศส ตีข่าว บาร์เซโลน่า สนใจดึง ดาวิด อลาบา แบ็กซ้าย บาเยิร์น ไปร่วมทีม เพื่อที่จะให้เป็นตัวแทนระยะยาวของ จอร์ดี้ อัลบา โดยฝั่ง “เสือใต้” ก็เพิ่งได้ ลูก้าส์ แอร์กน็องเดซ ไปร่วมทีมหมาดๆ จนอาจจะทำให้ยอมปล่อย อลาบา เหมือนกัน
บาร์เซโลน่า สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ ลา ลีกา สเปน สนใจที่จะเดินเรื่องคว้าตัว ดาวิด อลาบา แบ็กซ้ายคนเก่งของ บาเยิร์น มิวนิค ไปร่วมทัพ ตามรายงานของ ฟร้องซ์ ฟุตบอล สื่อชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส

ตอนนี้แบ็กซ้ายเบอร์ 1 ของ บาร์เซโลน่า ได้แก่ จอร์ดี้ อัลบา อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เจ้าตัวมีอายุ 30 ปีเข้าไปแล้ว มันก็ทำให้ “อาซูลกราน่า” เริ่มมองหาแบ็กซ้ายคนใหม่ เพื่อที่จะเอามาเป็นตัวแทนระยะยาวของ อัลบา

กระทั่งล่าสุด ฟร้องซ์ ฟุตบอล ก็แฉว่า อัลบา คือเป้าหมายที่ บาร์เซโลน่า เล็งเอาไว้ หลังจากที่ดาวเตะชาวออสเตรียทำผลงานได้ดีกับ บาเยิร์น มาโดยตลอด ซึ่งการที่ “เสือใต้” ได้ตัว ลูก้าส์ แอร์กน็องเดซ ไปร่วมทัพ มันก็อาจจะทำให้ บาเยิร์น ยอมใจอ่อนปล่อย อลาบา มากขึ้น เนื่องจาก แอร์กน็องเดซ เล่นได้ทั้งแบ็กซ้ายและเซนเตอร์แบ็ก

นอกจาก บาร์เซโลน่า แล้วนั้น อาร์เซน่อล ก็เป็นอีก 1 ทีมที่ก่อนหน้านี้ตกเป็นข่าวกับ อลาบา โดยแข้งวัย 26 ปีเคยบอกว่าเป็นแฟนบอลของ “ไอ้ปืนใหญ่” ในสมัยที่ยังเป็นเด็กด้วย