Design a site like this with WordPress.com
เริ่มได้

หน่อไม้ฝรั่ง ผักรสชาติดี กรอบกรุบ ประโยชน์เยอะ อยากปลูกหน่อไม้ฝรั่งไว้ทำกับข้าว มาดูสายพันธุ์ยอดนิยมและวิธีปลูกหน่อไม้ฝรั่งกันค่ะ

หน่อไม้ฝรั่ง นับว่าเป็นผักโปรดในใจคนอีกหลายๆคน เนื่องจากมีอีกทั้งความกรุบกรอบไม่ซ้ำใคร รสดี อร่อยนัว มีกลิ่นส่วนตัว แถมยังนำไปทำอาหารได้หลากหลาย ที่สำคัญผลดีเด็ดๆคุณประโยชน์โดนๆมากมาย ฮั่นแน่ กล่าวมาขนาดนี้ มั่นใจว่าคู่รักการปลูกผักอาจจะอยากได้แนวทางปลูกหน่อไม้ฝรั่งไว้รับประทานเองที่บ้านกันจะแย่แล้ว ถ้างั้นอย่ามัวรอคอยช้า ตามมามองแนวทางปลูกหน่อไม้ฝรั่งพร้อมเพียงกันเลยนะ

ทำความรู้จักหน่อไม้ฝรั่งกันก่อน
ต้นหน่อไม้ฝรั่ง หรือ Asparagus มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Asparagus Officinalis จัดอยู่ในวง Asparagaceae เป็นผักที่มีคุณค่าทางของกินสูง เอามาทำอาหารได้นานัปการ รสดี มีความกรุบกรอบ โดยจะใช้ประโยชน์จากหน่อเป็นหลัก แบ่งได้หน่อเขียว (หน่อที่โผล่พ้นเหนือดิน) กับหน่อขาว (หน่อที่กลบอยู่ใต้ดิน ไม่ได้รับแสงแดด) ในด้านการปลูกและก็การดูแลก็ออกจะง่าย เก็บเกี่ยวได้นาน สามารถปลูกไว้ทำครัวรับประทานเองที่บ้านก็ได้ หรือจะปลูกไว้ส่งขายก็ทำรายได้พอได้เลยนะ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชอายุยาวนานหลายปี มีราก 2 ประเภทหมายถึงรากเนื้อแล้วก็รากฝอย ฝังลึกอยู่ใต้ดินทั้งสอง ส่วนลำต้นแบ่งได้เป็น 2 ส่วน เช่น ลำต้นใต้ดินกับลำต้นบนดิน โดยลำต้นใต้ดินหรือเหง้าจะอยู่ชิดกับราก มีลักษณะเหมือนแท่งดินสอกระจัดกระจายออกรอบทิศสีน้ำตาล ส่วนลำต้นบนดินช่วงแรกจะเรียกว่าหน่ออ่อน ยอดอ่อน หรือสเปียร์ (Spear) แตกออกมาจากตาข้างลำต้นใต้ดิน ปกคลุมด้วยใบแท้ มีลักษณะเป็นเกล็ดบางๆตามข้อ โดยจะโผล่พ้นดินขึ้นมาโดยประมาณ 90-120 ซม. ทรงเหมือนเฟิร์นนิดหน่อย มีกิ่งลักษณะที่คล้ายใบ เรียกว่า คลากระโดด (Cladodes) หรือคลาโดฟิล (Cladophyll)

หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่เพศผู้แล้วก็เพศเมียแยกกันอยู่ จำต้องอาศัยแมลงช่วยสำหรับเพื่อการผสมเกสร ดอกจะออกค่อนข้างจะเร็ว มีลักษณะเป็นรูประฆัง สีเขียวแกมเหลือง โดยดอกของต้นเพศผู้จะมีขนาดใหญ่รวมทั้งยาวกว่า ส่วนดอกของต้นเพศเมียจะมีขนาดเล็กแล้วก็น้อยกว่า มักขึ้นตามกิ่งก้าน นอกเหนือจากยังมีผลเหมือนเบอร์รีทรงกลมๆเล็กๆตอนอ่อนเป็นสีเขียว ตอนสุกเป็นสีแดงส้ม มีเม็ดสีดำด้านในอยู่ 2-3 เม็ดด้วย

สายพันธุ์ที่นิยมปลูก
หน่อไม้ฝรั่งที่ชาวไทยนิยมนำมาปลูกมีทั้งหมด 5 สายพันธุ์ เป็นต้นว่า
1 หน่อไม้ฝรั่งชนิดแมรี่วอชิงตัน (Mary Washington) เป็นหน่อไม้ฝรั่งชนิดแรกที่ปลูกเอาไว้ภายในไทย ได้ผลผลิตค่อนข้างจะดีแต่น้อยกว่าประเภทอื่น ก็เลยไม่ค่อยนิยมในขณะนี้
2 หน่อไม้ฝรั่งชนิดแคลิฟอร์เนีย 500 (California 500) เป็นหน่อไม้ฝรั่งที่แก่เก็บเกี่ยวเร็ว ได้ผลผลิตใกล้เคียงกับจำพวกแมรี่วอชิงตัน
3 หน่อไม้ฝรั่งจำพวกแคลิฟอร์เนีย 309 (California 309) เป็นหน่อไม้ฝรั่งที่ได้รับการค้นคว้าว่าแข็งแรง แถมยังได้ผลผลิตดีมากยิ่งกว่าแล้วก็ขนาดใหญ่กว่าชนิดแมรี่วอชิงตันแล้วก็ประเภทแคลิฟอร์เนีย 500
4 หน่อไม้ฝรั่งชนิดไฮบริดอิมพีเรียล (Hybrid Imperial) เป็นหน่อไม้ฝรั่งประเภทลูกผสม ได้ผลผลิตสูงขึ้นมากยิ่งกว่าทั้งยังแมรี่วอชิงตัน แคลิฟอร์เนีย 500 และก็แคลิฟอร์เนีย 309
5 หน่อไม้ฝรั่งประเภทบร็อคอินพรู๊ฟ (Brock’s Improved) เป็นหน่อไม้ฝรั่งชนิดลูกผสม ได้ผลผลิตมากที่สุด เม็ดก็เลยราคาแพงแพง

แนวทางปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
กรรมวิธีปลูกหน่อไม้ฝรั่งสามารถทำเป็น 2 แบบ เป็น

1 การเพาะกล้าลงในแปลงปลูกโดยตรง
ในการเพาะต้นกล้าลงในแปลงปลูกโดยตรง ขั้นแรกให้พวกเราตระเตรียมแปลงปลูกด้วยการขุดดินเป็นร่องแปลงสูง 30 ซม. กว้าง 1 เมตร ยาว 10 เมตร อย่าลืมกระพรวนดินอย่างรอบคอบ กำจัดวัชพืชให้หมดจด รวมทั้งคลุกปุ๋ยมูลสัตว์/ปุ๋ยธรรมชาติ+ปุ๋ยวิทยาศาสตร์+ปูน ลงไปในดินให้บ่อย

ต่อจากนั้นเกลี่ยหน้าดินให้เรียบ แล้วทำหลุมสำหรับหยอดเม็ด กะให้ลึกโดยประมาณ 2 ซม. เว้นระยะห่างราว 15-20 ซม. เสร็จรวมทั้งหยอดเม็ดลงไปหลุมละ 1 เม็ด หลังจากนั้นใช้ดินกลบบางๆแล้วก็ใช้เศษฟางหรือต้นหญ้าแห้งปกคลุมทับ (สามารถโรยฟูราดานเพื่อคุ้มครองแมลงได้) พร้อมกับหมั่นดูแลรดน้ำเป็นประจำ โดยเม็ดจะเริ่มผลิออกภายหลังปลูกราว 10-15 วัน ซึ่งควรจะคอยให้เม็ดแตกหน่อออกมาสัก 2-3 ซม. และหลังจากนั้นก็ค่อยให้ปุ๋ยรีบ อย่าลืมกำจัดวัชพืชและก็ถอนต้นหญ้าด้วย

2 การเพาะกล้าลงในถุง แล้วย้ายลงแปลงปลูก
สำหรับในการเพาะต้นกล้าลงในถุง ให้พวกเราผสมดินร่วนซุย 1 ส่วน เศษใบไม้ 1 ส่วน เถ้าแกลบ 1 ส่วน แล้วก็ปุ๋ยธรรมชาติ 1 ส่วน เข้าด้วยกัน แล้วหลังจากนั้นกรอกใส่ถุงเพาะชำ แล้วหยอดเม็ดตามลงไป เสร็จแล้วหลังจากนั้นก็ให้นำไปตั้งไว้ที่โล่งแจ้งและก็รดน้ำทุกวี่ทุกวัน ไม่นานสักราวๆ 3-4 เดือน ต้นกล้าก็จะเติบโต แข็งแรง พร้อมแก่การย้ายปลูก ส่วนขั้นตอนอื่นๆระหว่างรอย้ายลงแปลงปลูก มีดังนี้

  1. การเตรียมแปลงปลูก : ให้พวกเราขุดกลับดินให้ดี ย่อยดินให้ถี่ถ้วน พร้อมกับผสมปุ๋ยแล้วก็แกลบให้เหมาะ แล้วตากทิ้งเอาไว้ราว 2 เดือน พอเพียงถึงกำหนดก็อวยพรวนดินซ้ำอีกรอบ กำจัดวัชพืช แล้วชูร่องขึ้นสูงรวมทั้งเกลี่ยหน้าดินให้เรียบเพื่อตระเตรียมทำหลุมปลูก
  2. การเตรียมหลุมปลูก : ให้พวกเราขุดหลุมลึก 15-25 ซม. กว้าง 20 ซม. พร้อมด้วยผสมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ราวๆ 1 ช้อนชา กับปุ๋ยมูลสัตว์หรือเถ้าแกลบ 2 กำมือ เพื่อใช้รองตูดหลุม (สามารถผสมฟูราดานเข้าไปเพื่อคุ้มครองป้องกันแมลงได้)
  3. การจัดระยะปลูก : หน่อไม้ฝรั่งควรจะปลูกให้แถวห่างกันโดยประมาณ 1-1.5 เมตร แม้กระนั้นถ้าคนไหนต้องการปลูกผักอื่นแซมด้วย ก็สามารถเว้นระยะห่างมากยิ่งกว่านี้ได้
  4. การเตรียมย้ายกล้าลงปลูกภายในแปลง : ให้เลือกต้นกล้าที่แข็งแรง บริบูรณ์ แล้วก็มีรากมากมาย อายุสักราวๆ 3-4 เดือน แล้วต่อจากนั้นตัดยอดต้นกล้าออกให้ต้นสูงราวๆ 15 ซม. แล้วแช่โคนและก็รากลงไปในน้ำผสมสารคุ้มครองป้องกันเชื้อราราวๆ 15 นาที และจากนั้นจึงนำไปทำปลูก ระวังไม่ให้รากขาด โดยขณะที่เหมาะสมจะย้ายกล้าลงปลูกจะเป็นตอนบ่ายๆใกล้เย็นที่มีแสงอาทิตย์อ่อนๆ
  5. การปลูก : ให้ปลูกหลุมละ 1 ต้น โดยจำต้องแผ่รากของต้นกล้าให้กระจัดกระจาย ไม่กลุ่ม และกลบดินหรือโกยดินรอบโคนต้นให้สูงมากขึ้นมา แล้วกดให้แน่น แล้วก็รดน้ำให้เปียกชื้น

วิธีสำหรับดูแลแล้วก็เก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่ถูกใจดินร่วนซุยผสมทราย ปรารถนาแสงไฟส่องถึงหน้าดิน อยากน้ำเป็นประจำ ถูกใจหน้าดินเปียกชื้นๆแต่ว่าเกลียดชังดินเฉอะแฉะ การบำรุงทำเป็นโดยการใส่ปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยเคมีเป็นบางครั้งบางคราว พร้อมกับหมั่นกำจัดวัชพืชและก็โกยดินกลบโคนต้นบ่อยๆ แล้วก็ที่สำคัญหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่แตกหน่อ แตกก้านเยอะขึ้นด้วยเหตุนี้ถ้าเกิดไม่อยากที่จะให้แย่งของกินคุ้นเคยจนถึงแคระแกร็น ก็อย่าลืมตัดแต่งทรงเสมอๆหรือจะพักต้น (การถอนต้นที่มีภาวะไม่ดีทิ้ง เหลือแค่ต้นที่ภาวะดีไว้) แทนก็ได้

โดยหน่อไม้ฝรั่งจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ตอนอายุ 4 เดือน หรือเมื่อหน่อโผล่พ้นเหนือดินขึ้นมาโดยประมาณ 20 ซม. (ไม่เกิน 27 ซม.) ซึ่งภายหลังปลูกแรกๆให้เก็บเฉพาะหน่อเขียวก่อน แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยเก็บหน่อขาวในตอนหลังหรือตอนราวๆ 2-3 ปี ด้วยเหตุว่าพักหลังปลูกใหม่ๆหน่อขาวจะยังไม่สมบูรณ์

สำหรับวิธีแยกหน่อเขียวกับหน่อขาวเป็นหน่อเขียวจะเป็นหน่ออ่อนแทงขึ้นมาเหนือดินมากยิ่งกว่า 17 ซม. ให้เก็บด้วยการขุดดินตรงลงไป แล้วก็ใช้มือดึงเอาหน่อออกมา แล้วก็โกยดินกลบ ส่วนหน่อขาวเป็นหน่อที่อยู่ใต้ดิน ด้วยเหตุดังกล่าววิธีการปลูกจำเป็นจะต้องโกยดินกลบให้สูงตามความยาวที่ปรารถนา โดยส่วนมากจะมีความยาวมากยิ่งกว่า 17 ซม.

โรครวมทั้งแมลงที่ต้องระมัดระวัง
โรคที่พบมากในต้นหน่อไม้ฝรั่ง ดังต่อไปนี้
1 โรคลำต้นไหม้ : จะเป็นแผลสีน้ำตาลตามลำต้น กิ่ง ก้าน รวมทั้งใบ กระทั่งทำให้ใบหล่นรวมทั้งต้นแห้งตาย คุ้มครองปกป้องได้ด้วยการระบายน้ำอย่าให้ขัง ถอนต้นทิ้งก่อนขยาย แล้วก็ฉีดยาปกป้อง
2 โรคเน่าแฉะ : จะเกิดขึ้นกับต้นอ่อน มีลักษณะชุ่มฉ่ำน้ำที่ปลายยอดจนกระทั่งยอดอ่อนมีสีเหลือง พร้อมด้วยขึ้นราสีเทาเป็นก้านสั้นๆปกป้องได้ด้วยการฉีดยากำจัดโรค
3 โรคเน่าเละ : จะมีลักษณะเยื่อนุ่ม บอบช้ำ ลื่น รวมทั้งเหม็น โดยมากเป็นที่ปลายยอดหรือปลายหน่อ ปกป้องได้ด้วยการระวังขณะเก็บเกี่ยว หลบหลีกกระบวนการทำให้กำเนิดแผล คัดเลือกเฉพาะหน่อที่บริบูรณ์ รวมทั้งกระทำการลดอุณหภูมิในทันทีข้างหลังเก็บ
4 โรคหน่อเน่า : จะมีลักษณะอาการบอบช้ำน้ำ ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นที่ส่วนใดก็ได้ แม้กระนั้นส่วนใหญ่จะเริ่มที่โคนหน่อ คุ้มครองได้ด้วยการระวังไม่ให้หนอนกัดและไม่ให้เครื่องใช้ไม้สอยลูกพรวนดินไปโดน
5 โรครากแล้วก็โคนเน่า : จะมีลักษณะเน่าตามยอดหน่อหรือรอยตัด คุ้มครองปกป้องได้ด้วยการลดอุณหภูมิอย่างเร็วข้างหลังเก็บเกี่ยวแล้วก็ระวังความชุ่มชื้นรอบๆยอดหน่อ
6โรคแอนแทรกโนส : จะเป็นแผลสีน้ำตาลเห็นได้ชัดเจน เมื่อเริ่มขยายจะมีผลให้ลำต้นยุบแล้วก็แห้งตาย คุ้มครองได้ด้วยการกำจัดส่วนที่เป็นโรคออกไปทำลาย ระวังน้ำนอง รวมทั้งฉีดยาคุ้มครองป้องกัน

ส่วนพวกแมลงหรือศัตรูพืชที่มักพบจะเป็นพวกหนอนหัวข้อหอม หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนคืบ เพลี้ยไฟฝ้าย แล้วก็เพลี้ยไฟหอม ด้วยเหตุดังกล่าวหากคนใดกันแน่คิดจะปลูก ก็อย่าลืมระวังและก็หมั่นกำจัดแมลงพวกนี้ออกไปด้วย

คุณประโยชน์และก็คุณประโยชน์อันดีเลิศ
นอกเหนือจากการที่จะปลูกได้ไม่ยากรวมทั้งดูแลง่ายแล้ว จำต้องบอกเลยว่าผักมีความกรอบ รสกลมกล่อมละมุนละไม แล้วก็มีสารอาหารหลบซ่อนอยู่เยอะ แถมยังนำไปเตรียมอาหารได้อีกทั้งต้ม ผัด ลวก แถมยังช่วยลดหุ่น ช่วยปรับให้สมดุลไส้ ช่วยลดการเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ บำรุงท้อง บำรุงสมอง รวมทั้งฯลฯ สรุปว่าหากคนใดใคร่รู้เพิ่ม ก็ทดลองตามไปดูกันได้ ยืนยันจำต้องตกหลุมรักการกินหน่อไม้ฝรั่งแน่

ประโยชน์ของ แครอท ที่สามารถกินได้ทั้งส่วนของหัว เป็นที่นิยมมานำอาหารได้หลายรูปแบบ ซึ่งได้มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี

แครอท เป็นพืชในตระกูลผักชีที่มีหัวอยู่ใต้ดิน มีสีสันมากมายอีกทั้งส้ม แดง เหลือง ขาว แล้วก็ม่วง สามารถกินได้อีกทั้งส่วนหัวที่อยู่ใต้ดินและก็ใบ แต่ว่าส่วนหัวจะได้รับความนิยมประยุกต์ใช้กินเป็นของกินได้หลากหลายรูปแบบ อีกทั้งแบบดิบ คั้นน้ำ ผ่านการปรุงสุก หรือใช้ปรุงเป็นของหวาน รวมทั้งบางทีอาจใช้เป็นยาก็ได้เหมือนกัน

แครอทเป็นพืชที่ขึ้นชื่อว่าอุดมไปด้วยวิตามินและก็สารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยยิ่งไปกว่านั้นเบต้าแคโรทีน พบได้ทั่วไปในพืช ผัก ผลไม้ แล้วก็เมล็ดพืชต่างๆธรรมดาแล้วร่างกายมนุษย์สามารถแปลงเบต้าแคโรทีนให้ไปเป็นวิตามินเอได้ แล้วก็บางทีอาจปฏิบัติภารกิจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) การกินแครอทมั่นใจว่าอาจมีส่วนช่วยสำหรับการรักษาโรคโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคไฟโบรมัยอัลเจีย รวมทั้งการขาดวิตามินเอ วิตามินซี รวมทั้งสังกะสี นอกเหนือจากนั้นแครอทยังประกอบไปด้วยกากใยอาหารที่มั่นใจว่ามีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวพันกับกระเพาะและก็ลำไส้เล็ก แล้วก็ยังช่วยกระตุ้นลักษณะการทำงานของระบบขับถ่ายอีกด้วย แต่ว่าสิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์หรือหลักฐานทางด้านการแพทย์มีมากมายน้อยแค่ไหนที่จะสามารถช่วยรับรองคุณประโยชน์ คุณประโยชน์ แล้วก็ความปลอดภัยของการกินแครอทที่มีหน้าที่หรือส่วนช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคกลุ่มนี้

การรักษาด้วยแครอทที่อาจได้ผล
โรคขาดวิตามินเอ โดยธรรมดาแล้วเมื่อกินแครอทเข้าไปร่างกายจะสามารถเปลี่ยนแปลงเบต้าแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอ ซึ่งมีการค้นคว้าวิจัยบางงานเกี่ยวกับการกินแยมแครอท 1 ช้อนแต่ละวัน ตลอดตรงเวลา 10 อาทิตย์ พบว่าสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของเด็กที่เป็นโรคขาดวิตามินเอ และก็ยังมีการค้นคว้าวิจัยอื่นๆเกี่ยวกับการกินแครอทขูดในจำนวน 100 กรัมทุกวัน สม่ำเสมอเป็นเวลา 60 วันโดยการทำการเรียนทดสอบกับคนที่กำลังตั้งท้อง พบว่าระดับวิตามินเอเพิ่มสูงมากขึ้นในคนที่กำลังมีท้องบางบุคคลที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอ

การดูแลรักษาด้วยแครอทที่เป็นได้ แต่ว่ายังมีหลักฐานเกื้อหนุนน้อยเกินไป
โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการเรียนทดสอบเกี่ยวกับพลาสมาแล้วก็ของกินที่มีส่วนประกอบของแคโรทีนอยด์รวมทั้งการเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก พบว่าระดับพลาสม่าแคโรทีนอยด์สูงอาจจะก่อให้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้น้อย ซึ่งจากงานวิจัยชิ้นนี้ได้ชี้แนะว่าการทานอาหารที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนบางทีอาจปฏิบัติหน้าที่ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายวัยชายหนุ่มได้ แต่ว่าเพราะหลักฐานยังไม่พอที่จะสรุปถึงคุณลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นของแครอทได้ ก็เลยยังจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมถัดไป

เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระและก็ลดการเกิดขบวนการออกซิเดชันของไขมัน ไขมันรวมทั้งโรคอ้วนเป็นต้นสายปลายเหตุหนึ่งที่เพิ่มการเสี่ยงให้กำเนิดโรคต่างๆดังเช่น โรคเส้นโลหิตแล้วก็หัวใจ กรุ๊ปอาการเมตาบอลิก แล้วก็เบาหวาน ซึ่งมีการเรียนรู้ชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับคุณภาพของน้ำแครอทโดยให้กลุ่มของตัวอย่างผู้ชายปริมาณ 8 คนและก็ผู้หญิงปริมาณ 9 คนบริโภคน้ำแครอทคั้นสดในจำนวน 16 ออนซ์ทุกวี่ทุกวันตรงเวลา 3 เดือนแล้วก็เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างเลือดทั้งยังก่อนและก็ข้างหลังการทดสอบ พบว่าการบริโภคน้ำแครอทเพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับในการต่อต้านอนุมูลอิสระของพลาสม่าอย่างเป็นจริงเป็นจัง แม้กระนั้นเนื่องมาจากกลุ่มของตัวอย่างมีปริมาณน้อยรวมทั้งหลักฐานยังน้อยเกินไปที่จะสรุปถึงคุณลักษณะดังที่กล่าวมาข้างต้นของแครอทได้ ก็เลยยังจำเป็นที่จะต้องศึกษาเล่าเรียนเสริมเติมถัดไป

ท้องร่วง นอกเหนือจากแครอทจะอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนแล้ว ยังอุดมไปด้วยกากใยอาหาร ซึ่งอาจมีส่วนช่วยทำให้ปรุงปัญหาที่เกี่ยวกับกระเพาะและก็ลำไส้เล็ก รวมทั้งอาการท้องเดิน ซึ่งจากงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการให้เด็กแรกเกิดแล้วก็เด็กตัวเล็กๆที่มีลักษณะท้องร่วงอย่างฉับพลัน อายุระหว่าง 3-48 เดือนที่มีภาวการณ์ขาดน้ำไม่สูงถึงระดับปานกลางจากอาการท้องร่วง กินสารละลายเกลือแร่ที่มีส่วนผสมของแครอทรวมทั้งข้าว พบว่ากลุ่มของตัวอย่างอึรวมทั้งมีช่วงเวลาที่เกิดอาการท้องเดินต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง แม้กระนั้นเพราะเหตุว่าหลักฐานยังน้อยเกินไปที่จะสรุปถึงคุณลักษณะดังที่ได้กล่าวมาแล้วของแครอทได้ ก็เลยยังควรต้องศึกษาเล่าเรียนเสริมเติมถัดไป

โรคไฟโบรมัยอัลเจีย คนไข้จะมีลักษณะอาการตึง ปวดเมื่อย หรือปวดกล้ามแบบเรื้อรัง นอนไม่หลับ เจ็บท้อง แน่นท้อง อ้วก ไส้ปรวนแปร ปวดไมเกรน เครียด ตื่นตระหนก มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ สมาธิน้อยลง ฯลฯ ซึ่งมีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการกินอาหารมังสวิรัติร่วมกับกินน้ำแครอท 2-4 แก้ว ตรงเวลา 7 เดือน พบว่าผู้เจ็บป่วยโรคไฟโบรมัยอัลเจียบางบุคคลมีลักษณะอาการที่ดียิ่งขึ้น แต่ว่าเนื่องด้วยหลักฐานยังไม่พอที่จะสรุปถึงคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นของแครอทได้ ก็เลยยังต้องเรียนรู้เพิ่มอีกถัดไป

โรคแล้วก็อาการอื่นๆเป็นต้นว่า โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคขาดวิตามินซี โรคขาดสังกะสี ท้องผูก หรือบำรุงสายตา ซึ่งยังจำเป็นจะต้องทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าเสริมเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับสมรรถนะแล้วก็ความปลอดภัยของแครอทสำหรับการรักษาโรค

คุณประโยชน์ทางโภชนาการของแครอทดิบ ต่อ 100 กรัม
น้ำ 88.29 กรัม
พลังงาน 41 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 0.93 กรัม
ไขมัน 0.24 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 9.58 กรัม
เส้นใย 2.8 กรัม
น้ำตาล 4.74 กรัม
แคลเซียม 33 มก.
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 13 มก.
ฟอสฟอรัส 35 มก.
โพแทสเซียม 320 มก.
โซเดียม 69 มก.
สังกะสี 0.24 มก.
วิตามินซี 5.9 มก.
วิตามินบี 1 0.066 มก.
วิตามินบี 2 0.058 มก.
วิตามินบี 3 0.983 มก.
วิตามินบี 6 0.138 มก.
โฟเลต 19 ไมโครกรัม
วิตามินเอ 16706 หน่วยสากล
วิตามินอี 0.66 มก.
วิตามินเค 13.2 ไมโครกรัม

ความปลอดภัยสำหรับในการกินแครอท
แครอทสามารถใช้กิน คั้นน้ำ หรือนำไปเข้าครัวได้โดยค่อนข้างจะมีความปลอดภัย แม้กระนั้นแม้กินในจำนวนมากเหลือเกินบางทีอาจเป็นต้นเหตุทำให้ผิวเหลือง ฟันเสื่อม หรือฟันผุได้ รวมทั้งยังไม่เป็นที่แจ่มแจ้งถ้าหากเอาไปใช้เป็นยาจะมีความปลอดภัยมากมายน้อยเท่าใด รวมทั้งมีข้อควรคำนึงสำหรับในการกินแครอทโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในกรุ๊ปดังนี้

คนที่กำลังมีท้องหรือคนที่อยู่ในตอนให้นมลูก การกินแครอทเป็นของกินออกจะมีความปลอดภัย แต่ว่ายังไม่เป็นผลการค้นคว้าเกี่ยวกับความปลอดภัยที่แจ่มชัดแม้กินแครอทเพื่อเป็นยา
เด็ก บางทีอาจกินแครอทได้โดยสวัสดิภาพถ้าเกิดกินในจำนวนที่สมควร แม้กระนั้นบางทีอาจไม่ปลอดภัยถ้าหากให้เด็กตัวเล็กๆหรือเด็กอ่อนกินหรือกินน้ำแครอทในจำนวนมาก ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเป็นต้นเหตุทำให้ผิวเหลือง หรือฟันผุได้
คนที่แพ้แครอท อาจจะส่งผลให้แพ้ได้ในคนที่มีลักษณะอาการแพ้แครอท เซเลอรี หรือพืชในเครือญาติที่เกี่ยว
คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน อาจจะก่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลง หรือบางทีอาจมีผลต่อความสามารถของยาที่ใช้อยู่ในตอนนั้น ถ้าหากคนป่วยเบาหวานกินแครอทในจำนวนมาก ควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างใกล้ชิด

มะเขือเทศ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูกระจ่างใส ดีต่อสุขภาพอย่างมาก ช่วยรักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี

ชวนไปเจาะแหล่งผลิต “มะเขือเทศ” คุณภาพดีเกรดพรีเมียม เพื่อนำมาดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อคนที่รักสุขภาพที่ดี แถมยังมีผลเรื่อง “ความสวยงาม” ของหญิงได้ดีอีกด้วย เพราะว่ามีสารสำคัญอย่าง ไลโคปีน ช่วยทำนุบำรุงผิวให้สว่างผ่องใส สดใส จากภายในสู่ภายนอก

ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ จะพาไปรู้จัก “มะเขือเทศ” คุณภาพดีตั้งแต่ต้นทางถึงจุดหมายการสร้าง เพื่อได้มะเขือเทศดัดแปลงพร้อมกินสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเสริม “ความสวยงาม” ด้านผิวพรรณ หากพร้อมแล้ว…ตามมาทางนี้!

ต้นทาง “มะเขือเทศ” สีแดงสด!
พวกเราได้โอกาสได้เดินทางไปบุกฟาร์มมะเขือเทศคุณภาพดีที่ หมู่บ้านนางอย อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร เป็นฟาร์มปลูกที่มีการควบคุมการใช้สารเคมีอย่างหมาะสม รวมทั้งเพียงพอถึงตอนเก็บเกี่ยว จำเป็นที่จะต้องทิ้งระยะเวลาครู่หนึ่งให้สารเคมีย่อยสลายไป ก่อนที่จะเก็บผลมะเขือเทศ แล้วส่งเข้าโรงงานดัดแปลงให้เป็นมะเขือเทศพร้อมกิน

ฟาร์มมะเขือเทศของหมู่บ้านนางอยปลูกอีกทั้งมะเขือเทศเชอรี่ แล้วก็มะเขือเทศลูกท้อสายพันธุ์ Perfect Gold 111 ซึ่งเป็นแหล่งปลูกที่ทำให้ได้มะเขือเทศลูกใหญ่ งาม เปลือกบาง เนื้อเยอะ มีความหวาน รวมทั้งมีสารอาหารสำคัญครบตามมาตรฐาน GAP

“มะเขือเทศ” ดัดแปลง หาซื้อง่าย
เมื่อได้มะเขือเทศคุณภาพดีแล้ว จริงๆสามารถนำผลสดไปทำกับข้าวกินได้เลย แต่ว่าสำหรับผู้หญิงเมืองกรุงที่มีเวลาน้อย ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารรับประทานเอง แม้กระนั้นต้องการกินมะเขือเทศที่อร่อยและก็ได้สุขภาพ ก็สามารถหาซื้อมะเขือเทศดัดแปลงได้ตามร้านค้าสบายซื้อใกล้บ้าน

แต่ว่ากว่าจะได้มาเป็นมะเขือเทศดัดแปลงเกรดพรีเมียมอย่างงี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย…

โดยมะเขือเทศสดจาก ฟาร์มมะเขือเทศของหมู่บ้านนางอย จะถูกนำไปส่งยัง “โรงงานหลวงดอยคำ จังหวัดสกลนคร” (โรงงานหลวงสำเร็จรูปที่ 3 เต่างอย) ซึ่งนับว่าเป็นโรงงานหลวงที่แรกในบริเวณลุ่มน้ำโขง เป็นโรงงานรับซื้อผลิตผลมะเขือเทศจากประชาชนนางอย ช่วยทำให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคงจะ สามารถพึ่งตนเองได้

โดยมะเขือเทศที่รับซื้อมาจะมีวิธีการตรวจทานรวมทั้งคัดเลือกประสิทธิภาพอย่างเข้มงวด เพื่อได้มะเขือเทศสด ลูกใหญ่ เนื้อมาก และไม่มีสารเคมีหลงเหลือ มะเขือเทศกลุ่มนี้ถูกนำไปดัดแปลงจนได้ออกมาเป็น มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste), น้ำมะเขือเทศ, มะเขือเทศอบแห้ง, แยมมะเขือเทศ รวมทั้งซอสมะเขือเทศ (Ketchup) ได้ผลผลิตที่ส่งขายไปทั่วทั้งประเทศไทย

เอาละ…ได้รู้ถึงทางการสร้าง “มะเขือเทศ” คุณภาพดีของประเทศไทยกันแล้ว ต่อนี้ไปพวกเราจะพาไปดูกันว่าประโยชน์ของมะเขือเทศที่มีต่อ “สุขภาพ” แล้วก็ “ความสวยงาม” มีอะไรกันบ้าง?

  1. ไลโคปีน ป้องกันโรคมะเร็ง
    ในมะเขือเทศมีสาร ไลวัวป่ายปีน (lycopene) เป็นสารในกรุ๊ปแคโรทีนอยด์ พบได้มากในผักผลไม้ที่มีสีส้มหรือสีแดง เป็นต้นว่า แครอท แตงโม มะละกอ ฟักข้าว เกรปฟรุต แล้วก็แน่ๆ…ในมะเขือเทศด้วย

ซึ่งไลโคปีนนี้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ สามารถคุ้มครองป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี ในมะเขือเทศสด 100 กรัม จะมีจำนวนไลวัวไต่อยู่โดยประมาณ 0.9 – 9.30 มก. มีส่วนช่วยลดการเสี่ยงโรคมะเร็งไส้ โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แล้วก็โรคมะเร็งตับอ่อน

  1. มะเขือเทศชะลอ “ความแก่”
    อย่างที่บอกไปว่ามะเขือเทศมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานเข้าไปในจำนวนที่สมควรก็เลยสามารถชะลอความแก่ได้ ช่วยลดริ้วรอยที่วัย บำรุงผิวพรรณให้แจ่มใส เปียกชื้น ทั้งมีวิตามินเอ วิตามินเค รวมทั้งวิตามินซีสูง ก็เลยช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมและก็ลดน้ำตาลในเลือด ฯลฯ
  2. น้ำมะเขือเทศ เพื่อผิวสว่างใส
    มีผู้หญิงหลายๆคนหันมากินน้ำมะเขือเทศสำเร็จรูป เพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับการบำรุงผิวพรรณให้สว่างใส สดใส ช่วยลดลางเลือนผิวหมองคล้ำ ซึ่งเดี๋ยวนี้สามารถหาซื้อได้อย่างง่ายดายในร้านค้าสบายซื้อใกล้บ้าน ปัจจุบันนี้มีน้ำมะเขือเทศสำเร็จรูปนานัปการรสให้เลือกกินได้ไม่เบื่อ มีอีกทั้งน้ำมะเขือเทศ 100%, น้ำมะเขือเทศสูตรลดโซเดียม, น้ำมะเขือเทศ Mocktail, น้ำมะเขือเทศ Virgin Mary ฯลฯ

แนวทางกินน้ำมะเขือเทศเพื่อได้ประโยชน์สูงสุดหมายถึงควรจะดื่มก่อนกินอาหารในตอนท้องว่าง หรือดื่มหลังรับประทานอาหารในทันที เพราะว่าไขมันในของกินจะช่วยทำให้ร่างกายดูดซับไลโคปีนได้ดิบได้ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (นอกจากผู้เจ็บป่วยโรคไต และก็คนที่มีโพแทสเซียมในเลือดสูง ไม่สมควรรับประทานมะเขือเทศ)

  1. รับประทานมะเขือเทศสุก ได้ไลโคปีนสูง
    การทานมะเขือเทศเพื่อได้ประโยชน์สูงสุด ควรที่จะนำมาปรุงผ่านความร้อนให้สุกซะก่อน เมื่อมะเขือเทศผ่านความร้อน จะก่อให้ไลวัวไต่หลุดออกมาจากเนื้อมะเขือเทศได้ง่าย เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายก็สามารถนำสารไลโคปีนไปใช้ได้ดียิ่งกว่ารับประทานแบบใหม่ๆ

ยิ่งไปกว่านี้ ไลโคปีน เป็นสารที่สามารถละลายได้ดิบได้ดีในน้ำมัน เพราะฉะนั้นถ้าหากพวกเราใช้น้ำมันสำหรับในการปรุงมะเขือเทศ จะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซับไลโคปีนเจริญเพิ่มขึ้น

  1. รับประทานมะเขือเทศสด ก็ได้ค่าเช่นเดียวกัน
    ในมะเขือเทศใหม่ๆอุดมไปด้วยวิตามินหลายแบบ ทั้งยังวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค แถมยังมีใยอาหารสูง ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ช่วยเสริมภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง นอกจากนั้นมะเขือเทศใหม่ๆยังสามารถประยุกต์ใช้ บำรุงผิว แล้วก็ รักษาสิว ได้ด้วย โดยนำมะเขือเทศสับละเอียดมาพอกผิวหน้า หรือฝานบางๆแล้วเอามาติดหน้าก็ได้

บร็อคโคลี่ ถือเป็นผักชนิดหนึ่งที่หลายคนไม่ชอบ อาจเพราะมีสีเขียวที่ค่อนข้างเข้มกว่าผักชนิดอื่น แต่หารู้ไม่ บร็อคโคลี่ให้วิตามินซีมากถึง 200 %

บร็อคโคลี่เป็นยังไง
บร็อคโคลี่ Broccoli เป็นผักจำพวก มีลักษณะทรงพุ่มใหญ่ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มช่อ มีสีเขียวเข้ม ปกติแล้วพวกเราจะนิยมบริโภคส่วนที่เป็นดอกเยอะที่สุด เพราะว่าดอกของบร็อคโคลี่นุ่ม ทำให้ทานง่าย ส่วนของลำต้นจะนิยมรองลงมา ด้วยเหตุว่าเปลือกที่เหนียว แล้วก็แข็ง ซึ่งคุณประโยชน์ทางสารอาหารมีอยู่มากมายในส่วนของลำต้น ด้วยเหตุดังกล่าวการกินทั้งคู่ส่วนรวมกัน ร่างกายก็จะได้รับคุณประโยชน์อย่างมากสุด

วิธีการทานบร็อคโคลี่
บร็อคโคลี่ เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะว่ามีให้ทานตลอดทั้งปี โดยสามารถกินสด หรือไม่ก็อาจจะนำมาปรุงอาหารก็ได้ ดังนี้ การกินบร็อคโคลี่เพื่อได้ประโยชน์สูงสุด จะต้องไม่ผ่านแนวทางการทำอาหารที่มีช่วงเวลานานจนถึงเหลือเกิน ด้วยเหตุว่าจะไปทำลายโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีไมโรสิเนส และก็ซัลโฟราเฟนได้ ซึ่งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีไมโรสิเนส กับสารซัลโฟราเฟน เป็นตัวช่วยปรับให้ตับขับพิษ ช่วยเหลือระบบภูมิต้านทาน และก็ยั้งการเจริญของเนื้องอก ทั้งยังยังมีลักษณะเด่นสำหรับการต้านทานโรคมะเร็ง

คุณประโยชน์บร็อคโคลี่
1.ช่วยคุ้มครองโรคอัลไซเมอร์ได้ จากงานค้นคว้าวิจัยของ King’s college london university of london กล่าวว่ามีเพียงแค่ผักผลไม้ 5 จำพวกแค่นั้น ที่มีสารประกอบที่ปฏิบัติภารกิจเหมือนยา ที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งตัวอย่างเช่น บร็อคโคลี่ ส้ม ผลแอปเปิ้ล หัวผักกาด และก็มันฝรั่ง ซึ่งบร็อคโคลี่เป็นผักที่มีสารดังที่กล่าวมาแล้วสูงที่สุด
2.ช่วยลดความถี่การเจ็บของไมเกรนลง เพราะเหตุว่ามีแมกนีเซียมสูง
3.ช่วยบำรุงรักษา และก็รักษาสายตา ทั้งยังป้องกันการเกิด ต้อกระจก เนื่องจากมีเบต้าแคโรทีน
4.ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เนื่องจากมีวิตามิน C สูง
5.ช่วยบำรุงรักษากระดูก รวมทั้งฟันให้แข็งแรง พร้อมคุ้มครองปกป้อง โรคกระดูกพรุน เพราะเหตุว่ามีแคลเซียมสูง
6.ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง แล้วก็ชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ด้วยเหตุว่ามีสารซีลีเนียม
7.ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากมีวิตามิน E
8.ช่วยลดการเสี่ยงของการเกิดภาวการณ์หัวใจวาย และก็โรคเส้นเลือดสมอง เนื่องจากอุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์
9.ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆอีกทั้งโรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งกระเพาะ และก็โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากว่ามีสารช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะเข้าไปทำลายเซลล์ของมะเร็ง
10.ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และก็ช่วยทำให้ตับขับพิษภายในร่างกายก้าวหน้าขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบร็อคโคลี่ต้นอ่อน ที่แก่เพียงแค่ 3 วัน เนื่องจากว่ามีสารซัลโฟราเฟน รวมทั้งมีเส้นใยสูง
11.ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคข้อหัวเข่าเสื่อม เพราะเหตุว่ามีสารอาหารหลายชนิด ที่จะสามารถช่วยลดจังหวะกำเนิดข้อหัวเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควรจะ
12.ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ และก็เพิ่มภูมิต้านทานกับร่างกาย เนื่องจากว่ามีสารอาหารที่มากมาย

วิธีสำหรับการเลือกซื้อบร็อคโคลี่
วิธีการสำหรับเลือกซื้อบร็อคโคลี่ ควรจะซื้อที่มีดอกแน่น กระชับ มีสีเขียวเข้ม ก้านแข็งแรง เหนียวนุ่ม ไม่สมควรเลือกซื้อบร็อคโคลี่ที่มีดอกสีเหลือง มีใบเฉา แล้วก็มีก้านใบแข็งหรือครึ้มจนกระทั่งเหลือเกิน

วิธีล้างบร็อคโคลี่ให้สะอาด
1.ก่อนนำบร็อคโคลี่ไปล้าง ให้ใช้มีดหั่นบร็อคโคลี่ให้ฯลฯเล็กๆซะก่อน โดยหั่นตามแนวของส่วนก้าน หั่นจากก้านไปยังหัวของดอก การหั่นอย่างงี้ จะมีผลให้ส่วนดอกไม่แตก หรือหลุดออกลดลง
2.เมื่อหั่นบร็อคโคลี่เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ให้เทน้ำที่สะอาดลงไป เพื่อล้างบร็อคโคลี่
3.แล้วหลังจากนั้น เพิ่มเติมผงแป้งสารพัดประโยชน์ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งผงแป้งจะช่วยซับสิ่งสกปรก รวมทั้งพิษที่แปดเปื้อนเอาไว้
4.ต่อไป เพิ่มเติมเกลือลงไปน้อย ซึ่งเกลือสามารถช่วยกำจัดหนอน เเมลงตัวเล็กๆหรือไข่ของมันได้
5.หลังจากนั้นคนเพื่อที่จะให้ส่วนประกอบทั้งหมดผสมจนเข้ากันดี แล้วแช่ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 5 นาที
6.เมื่อผ่านไป 5 นาที ให้นำบร็อคโคลี่ขึ้นจากน้ำ จะมีความเห็นว่าน้ำที่ใช้แช่บร็อคโคลี่ดูไม่สะอาดขึ้น
7.แล้วหลังจากนั้น นำบร็อคโคลี่ไปล้างน้ำไม่ อีกราวๆ 2-3 ครั้ง เพียงเท่านี้ก็จะได้บร็อคโคลี่ที่สะอาด ไม่มีอันตราย ไม่มีสารตกค้าง

ถ้าหากคุณเป็นคู่รักสุขภาพ “บร็อคโคลี” นับว่าเป็นผักอีกหนึ่งจำพวกที่ไม่สมควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุว่ามีสารอาหารที่ต้องต่อสุขภาพร่างกาย และก็ยังช่วยยั้งการเกิดโรคร้ายได้ แม้กระนั้นการจะกินบร็อคโคลี่ให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด พวกเราจะต้องล้างพิษ ล้างสิ่งสกปรกออกให้หมดด้วยนะคะ

ลองเพิ่มความแซ่บด้วยการทำ สลัดอะโวคาโดอกไก่สไตล์เม็กซิกัน จับอกไก่หมักกับพริกป่นและเครื่องเทศ กินกับซัลซ่าอะโวคาโดและน้ำสลัดมะนาว

ส่วนผสม
อกไก่ 2 ชิ้น (ประมาณ 400 กรัม)
พริกป่นชิโพเล (Chipotle Powder) 1/2 ช้อนชา
ออริกาโน่ 1/2 ช้อนชา
ยี่หร่าป่น 1/4 ช้อนชา
เกลือป่น
พริกไทยป่น
น้ำมันมะกอก 1/2 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสม ผักสลัด
ผักกาดคอส หั่นตามชอบ 5 หัว

ส่วนผสม
อะโวคาโด (หั่นเต๋า) 1 ลูก
มะเขือเทศเชอร์รี (ผ่าครึ่ง) 1 ถ้วย
เม็ดข้าวโพดสุก 3/4 ถ้วย
หอมแดงสับ 1/2 หัว
ผักชีสับ 1/4 ถ้วย

ส่วนผสม น้ำสลัดมะนาว
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะกอก 1/4 ถ้วย
กระเทียมสับ 1 กลีบ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น

วิธีทำ
ทำน้ำสลัดมะนาว โดยคนส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากัน เตรียมไว้
หมักอกไก่ โดยแบ่งน้ำสลัดมะนาวออกมาประมาณ 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถุงซิปล็อก ใส่พริกป่นชิโพเล ออริกาโน่ ยี่หร่าป่น เกลือ พริกไทย และน้ำมัน ใส่อกไก่ลงไปหมัก ประมาณ 30 นาทีหรือข้ามคืน
ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันมะกอกลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ใส่อกไก่หมักลงไปย่างจนสุก นำขึ้นมาหั่นชิ้น
แบ่งผักชีสับใส่ถุงซิปล็อกที่มีน้ำหมักอกไก่ เขย่าจนเข้ากัน เตรียมไว้
ทำซัลซ่าอะโวคาโด โดยใส่อะโวคาโด เม็ดข้าวโพด มะเขือเทศ และหอมแดงใส่อ่างผสม โรยผักชี ราดน้ำสลัดมะนาวผสมน้ำหมักอกไก่ลงไป
เรียงผักสลัดคอสลงในชามเสิร์ฟ ราดซัลซ่าอะโวคาโดลงไป ตามด้วยเนื้ออกไก่หั่นชิ้น เสิร์ฟกับน้ำสลัดมะนาว เป็นอีกหนึ่งเมนูที่มีประโยชน์อย่างมาก มีทั้งผักและผลไม้ แกไก่ มีสารอาหารครบถ้วน เมนูนี้สำหรับคนที่กำลังมองหาอาหารเพื่อสุขภาพ ลองทำดูได้เลยจ้าาไม่ยาก ง่ายมาก