คืนจ่าฝูง พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง หลังจากพวกเขาบุกไปชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 2-0 ที่สนามคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยงานนี้ทำให้การลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในฤดูกาลนี้เต็มไปด้วยความเข้มข้น และลุ้นกันแบบนัดต่อนัดเลยทีเดียว
แม้ว่า “หงส์แด” จะเจอกับความยากลำบากในการเจาะเข้าทำประตูในครึ่งแรก แต่สุดท้ายพวกเขาสามารถปลดล็อกได้จากจังหวะที่ เทรนต์ -อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เปิดบอลให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดงามให้ทีมในช่วงเกมผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง
จากนั้นทีมมาคลายความกดดันมายิ่งขึ้นจากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ที่ขันอาสาสังหารไม่เหลือซาก โดยตอนนี้สาวก “เดอะ ค็อป” คงต้องลุ้นกันยิ่งกว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะ “ผีแดง” มีคิวรับมือ แมนฯ ซิตี้ และนี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่แฟนบอล “หงส์แดง” จะถอดใจเชียร์ “เร้ด เดวิลส์”
1. อลีสซง ทำผลงานยอดเยี่ยม
ลิเวอร์พูล มีโอกาสมากมายในช่วง 45 นาทีแรกจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ นีล เอเธอริดจ์ นายทวาร คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เข้าไปซุกก้นตาข่ายได้เลย ทำให้ทีมต้องเจอกับแรงกดดันในช่วงครึ่งหลัง
ฟอร์มของ “หงส์แดง” ในเกมนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าพวกเขาเหนือกว่าเจ้าบ้านพร้อมกับสถิติครองบอลได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในครึ่งแรก แต่ก็มีบางจังหวะที่พลาดให้ คาร์ดิฟฟ์ ได้สร้างความหวาดเสียวเหมือนกัน และโชคดีที่ทีมมี อลีสซง เฝ้าเสา ไม่งั้นอาจมีสิทธิ์น้ำตาตกก็ได้
จังหวะที่โดดเด่นเป็นสง่าของ คาร์ดิฟฟ์ คงเป็นในนาทีที่ 44 จากจังหวะที่ อูมาร์ แนสส์ พลิกตัวเร็วตวัดยิง แต่ อลีสซง ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นพอดีทำให้เจ้าตัวสามารถกระโดดปัดบอลข้ามคานออกไป ซึ่งถือเป็นจังหวะสำคัญมากๆ ที่ช่วยให้ “หงส์แดง” ไม่เสียประตูก่อนพักครึ่ง
ผลงานยอดเยี่ยมที่รักษาคลีนชีตใหนแมตช์นี้ทำให้ นายด่านชาวบราซิเลียน เก็บไปแล้ว 19 คลีนชีตในเกมลีกฤดูกาลนี้ และแน่นอนว่าเขามีลุ้นที่จะคว้ารางวัลถุงมือทองคำ เนื่องจากมีสถิติไม่เสียประตูเหนือกว่า เอแดร์สัน โกล์เพื่อนร่วมชาติจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
2. แอสซิสต์สำคัญจากเจ้าหนูอาร์โนลด์
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ฟูลแบ็กดาวรุ่งพุ่งแรง เก็บแอสซิสต์ให้กับตัวเองได้อีกครั้ง หลังจากเปิดเตะมุมให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซัดประตูสุดสวยผ่านมา นีล เอเธอริดจ์ โกล์เจ้าบ้าน ช่วยปลดล็อกให้ “เดอะ เร้ดส์” ในช่วงต้นครึ่งหลัง
จังหวะแอสซิสต์ของสตาร์ลูกหนังเสื้อเบอร์ 66 ส่งผลให้ช่องว่างในการแข่งทำแอสซิสต์กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันในฤดูกาล 2018-19 สูสีมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” ที่เห็นการแข่งขันดังกล่าวสร้างประโยชน์ให้กับทีมอย่างมาก
ตอนนี้ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 10 ครั้ง ขณะที่ กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 11 ครั้ง โดยอีก 3 เกมที่เหลืออยู่แฟนบอลลิเวอร์พูลคงหวังว่าทั้งสองคนยังผลิตผลงานดีมีคุณภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันไม่ว่าจบซีซั่นนี้ “หงส์แดง” จะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ แต่ คล็อปป์ คงแฮปปี้กับผู้เล่นฟูลแบ็กทั้งสองคนมากๆ
3. ไวจ์นัลดุม ประตูปลดล็อก
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะครองเกมได้เหนือกว่าแต่ดูเหมือนว่านักเตะมีอาการประหม่าสุดๆ ไม่ใช่แค่ผู้เล่นในสนามเท่านั้น เพราะที่ซุ้มม้านั่งสำรอง และบนอัฒจันทร์ต่างก็รู้สึกหวาดหวั่น เนื่องจากทีมยังไม่สามารถยิงประตูขึ้นนำได้ทั้งๆ ที่เกมผ่านมาเกือบ 1 ชั่วโมง
จนกระทั่ง จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม สวมบทผู้ปลดแอกเมื่อเขาวอลเลย์ลูกบอลสุดงามจากการเตะมุมของเจ้าหนูเทรนต์ ถือเป็นการปลดล็อคความเครียด และความประหม่าของลิเวอร์พูลได้ทันที และแน่นอนว่านั่นคงจุดที่ทำให้ทีมมีความมั่นใจมากขึ้น และเดินเครื่องที่จะทำประตูเพิ่ม
หลังจากที่ ดาวเตะเลือดดัตช์ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย แน่นอนว่าทำให้นักเตะและกองเชียร์ผู้มาเยือนระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นมานานได้ซะที แม้ว่านี่จะเป็นเพียงประตูที่สามในฤดูกาลนี้ของไวจ์นัลดุม แต่เป็นประตูที่มีความสำคัญมากๆ ต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก
4. 3 ประสานใช้จังหวะเปลื้อง
สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหวาดวิตกสำหรับนักเตะ, โค้ช และผู้เล่นสำรอง ในช่วงครึ่งหลังมาจากการที่ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสหลายต่อหลายครั้งที่จะทำประตูในช่วงครึ่งแรก และนั่นทำให้พวกเขาต้องเจอความกดดันอย่างหนักในการเล่นครึ่งหลัง
จังหวะที่งามหยดที่ “หงส์แดง” ควรจะได้ประตูนำเกิดขึ้นในนาที่ 23 เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ จ่ายบอลตามช่องแบบถวายใส่พานทองคำ ให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษ แต่ยิงบอลผ่านตัว นีล เอเธอริดจ์ หลุดกรอบออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ
ขณะที่ มาเน่ ก็มีโอกาสเช่นกัน เมื่อ ดาวเตะเซเนกัล ได้บอลหน้าเขตโทษฝั่งขวาจากนั้นก็สับไกด้วยขวา แต่บอลหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย ส่วน ซาลาห์ โชว์ลีลาพลิกบอลหนี บรูโน่ เอกูเอเล่ ม็องก้า หลุดเข้าไปดีดด้วยซ้ายในเขตโทษ แต่โดน เอเธอริดจ์ ออกมาบีบมุมเซฟเอาไว้ได้
ในช่วงเวลาคับขันและความตึงเครียดถาโถม แต่พวกเขาได้ฮีโร่อย่าง ไวจ์นัลดุม ที่ยิงประตูปลดล็อกในช่วงเกมผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง หากไม่ได้ประตูของแข้งดัตช์มีหวังสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ยิงกดดันจนถึงขั้นลนลานเลยก็ได้
5. ทุกสายตา “เดอะ ค็อป” จับจ้องเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอล์ด
แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกุมชะตากรรมในการลุ้นแชมป์เอาไว้ในมือเนื่องจากพวกเขาแข่งน้อยกว่า 1 แมตช์ แต่เกมนี้ “เรือใบสีฟ้า” เจอคู่แข่งสำคัญมากๆ นั่นก็คือการทำศึกดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด วันพุธที่ 24 เม.ย.นี้
สำหรับผลการแข่งขันบุกทุบ คาร์ดิฟฟ์ จะทำให้ “เดอะ เร้ดส์” ทวงบัลลังก์จ่าฝูงคืนมาก็ตาม เมื่อพวกเขามีแต้มนำห่าง “เรือใบสีฟ้า” 2 คะแนน แต่ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นจ่าฝูงได้อีกครั้งหากเอาชนะเกมที่ต้องพบ “ปีศาจแดง” ให้ได้
ในเกมล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ยับไม่นับญาติต่อ เอฟเวอร์ตัน 0-4 โดยหลังจบเกมนี้ โซลชา ประกาศก้องขอเรียกศรัทธาคืนจากสาวก “เร้ด อาร์มี่” ด้วยการนำลูกทีมไล่อัด แมนฯ ซิตี้ ให้ได้ เพราะหากทีมชนะพวกเขาก็ยังมีลุ้นซิวตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
เชื่อหรือไม่ในเกมดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ บรรดาสาวก “เดอะ ค็อป” คงพร้อมใจเชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบสุดใจขาดดิ้นชัวร์